พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการเงิน คือปัญหาสำคัญที่ขัดขวางความสำเร็จ เมื่อเรามีความเชื่อที่ผิด เราก็จะทำผิด และปัญหาต่าง ๆ ก็จะตามมา ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข แม้บางเรื่องเป็นสิ่งเราได้รับการปลูกฝังมาจากสังคมรอบข้าง หรือจากละคร และจากโรงเรียนก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น ละครมักจะเขียนบทให้คนรวยเป็นคนไม่ดี เป็นตัวโกง ซึ่งก็ทำให้หลายคนได้รับการปลูกฝังแนวคิดและมีความเชื่อแบบนี้ไปเลย แต่ผมอยากจะบอกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้อง เพราะความรวยกับความเลว มันเป็นคนละส่วนกัน แต่ “เงินคือสิ่งที่ขยายตัวตนเจ้าของเงิน” หมายความว่า ถ้าคนดีมีเงินมาก ๆ เขาก็จะเอาเงินไปทำสิ่งดี ๆ แต่ถ้าคนเลวมีเงินมาก ๆ เขาก็จะเอาเงินที่มีไปขยายตัวตนที่ไม่ดีของเขา
ดังนั้น คำว่า “คนรวย คือคนเลว” จึงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง นี่คือตัวอย่างของความเชื่อผิด ๆ ที่เราถูกปลูกฝันมาอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากคุณอยากเรียนรู้เกี่ยวกับความมั่งคั่ง คุณจะต้องแก้ไขทัศนคติที่ผิดเสียก่อน ดังนี้
1. โรงเรียนเคยสอนอะไรมาให้ลืมให้หมด (Rich mindset)
แม้แต่สิ่งที่โรงเรียนเคยสอนเรา ถ้าหากพิจารณาแล้วว่ามันเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เราก็จะต้องลืมมันเสียให้หมด ผมไม่ได้บอกว่าโรงเรียนสอนในสิ่งที่ไม่ดี แต่ทัศนคติบางอย่างที่เราได้รับการปลูกฝังมา มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหนัก ถ้าหากเราอยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ
เพราะโดยพื้นฐานแล้วระบบการสอนในโรงเรียน จะปลูกฝังให้เราเป็นผู้ตาม เป็นผู้ฟัง เป็นผู้ทำตามคำสั่ง และถ้าหากเรามองกลับไปที่ประวัติศาสตร์ของการก่อกำเนิดขึ้นของโรงเรียน เราก็จะพบว่า ระบบโรงเรียนนั้น…เริ่มต้นขึ้นในยุคสงครามโลกนั้นเอง โดยที่รัฐบาลเยอรมันต้องการปลูกฝังค่านิยมให้กับเด็ก ๆ เพื่อหล่อลอมให้เด็ก ๆ มีความรักชาติ ยึดถือระเบียบวินัย และเชื่อฟังคำสั่ง ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้บริหารจัดการกองทัพได้ง่ายในยุคสงคราม
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคปฏิบัติอุตสาหกรรม ระบบโรงเรียนก็ได้ถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการฝึกคน เพื่อใช้เป็นแรงงานในสายพานการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เราจึงเห็นได้ว่าวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่สอนนั้น มักจะเป็นความรู้สำหรับการฝึกเพื่อเป็นแรงงานที่ดี แต่ทว่าเรื่องสำคัญ ๆ ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตกลับไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าไหร่ เช่น เรื่องการบริหารจัดการเงิน เรื่องบัญชี เรื่องการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย สิ่งเหล่านี้โรงเรียนมักจะไม่สอนกัน
แต่ในวันนี้ เมื่อหน้าต่างของโลกเปิดกว้างขึ้น คนที่รู้สึกตัว และเข้าใจได้ว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อเป็นแค่แรงงานขั้นต่ำในภาคอุตสาหกรรม ก็จะพยายามเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ดีกว่าเดิม
2. เปลี่ยนข้อผิดพลาดที่เคยทำ (Leaning mindset)
อย่าเอาความผิดพลาดมาขัดขวางความสำเร็จ แต่ให้เปลี่ยนความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เพราะทุกคนบนโลกใบต่างก็เคยผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันเพียง บางคนผิดพลาดแล้วลุกขึ้นมาแก้ไข หรือผิดพลาดแล้วถอดใจ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งเรื่องดีและร้าย ทั้งที่เกิดขึ้นกับเรา หรือเกิดขึ้นกับคนอื่น ผมคิดว่าเราจะต้องถามตัวเองให้เป็นนิสัยว่า “จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มันมีอะไรดี ๆ ซ้อนอยู่บ้าง” เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบทเรียนให้กับเรา แม้แต่ความผิดพลาดก็ด้วย
3. โลกใบนี้มีเงินไม่จำกัด (Scarcity mindset)
ข้อนี้สำคัญมาก และเปลี่ยนชีวิตของเราได้เลยทีเดียว(ถ้าเข้าใจมัน) ผมอยากจะทุกคนว่า “โลกนี้มีเงินไม่จำกัด…” บางคนได้ฟังแล้วอาจจะไม่เชื่อ เพราะมันสวนทางกับความเชื่อที่เราได้รับการปลูกฝังมา เนื่องจากส่วนใหญ่ในสังคมจะคิดว่า เงินเป็นสิ่งหายาก เงินมีน้อย เงินมีอยู่จำกัด แต่คนเหล่านั้น เขาไม่เคยเข้าใจความจริงเลยว่า…
“โลกนี้มีเงินไม่จำกัด แต่ที่เราเข้าไม่ถึง เพราะเราไม่ได้ไปอยู่ในทิศทางที่เงินมันไหลไปต่างหาก”
ถ้าเราลงไปยืนอยู่ในกระแสน้ำที่มันกำลังไหล ยังไงเราก็ต้องเปียกแม้ว่าเราไม่กวักน้ำเข้ามาหาตัว ธรรมชาติของเงินก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นเราจะต้องจับกระแสให้ถูกว่าเงินกำลังไหลทางไหน ถ้ายุคนี้เงินมันไหลไปทางออนไลน์ ทางดิจิทัล ทางบล็อกเชน เราก็ต้องไปอยู่ในทิศทางนั้น ซึ่งผมจะบอกไว้เลยว่า คงมีแต่คนที่หลงผิดเท่านั้น ที่พยายามขุดลงไปในทะเลทรายแล้วหวังว่าจะพบเจอกับน้ำ และโลกในวันนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไปแล้ว ธุรกิจของเราก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน
4. มีความมั่นใจ ภูมิใจในตัวเอง (Self confident)
การเปลี่ยนความเชื่อทางการเงิน จะต้องเริ่มจากตัวเราก่อน นั้นก็คือเราจะต้องมีความมั่นใจ และภูมิใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของเงินจะไหลไปหาคนที่มีความมั่นใจ แต่หลายคนมักจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ชอบงานที่ทำ จึงทำงานไปวัน ๆ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า ถ้าเราไม่ทุ่มเทในสิ่งที่เรากำลังทำ สุดท้ายก็จะไม่มีใครทุ่มเทใจให้กับเรา
เงินก็จะวิ่งเข้าหาคนที่คู่ควรเท่านั้น และโลกของการเงินจะเปลี่ยนไป เมื่อความคิดของเราเปลี่ยนแปลง ถ้าหากเราบอกว่าเราเป็นใคร สุดท้ายเราก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าเราบอกกำตัวเองทุกวันเลยว่า “ชีวิตนี้คงไม่มีวันรวย” มันก็จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ถ้าหากเราบอกว่าตัวเองคู่ควรกับเงิน 1,000 ล้าน สิ่งเหล่านั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้
5. อย่าเปรียบเทียบ แล้วอิจฉา (Don’t be jealous)
การเปรียบเทียบและอิจฉาคือสิ่งขวางกันเส้นทางการเงิน เพราะถ้าเราเจอคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าแล้วไปอิจฉาเขา แสดงว่าเราไม่ชอบเขาเพราะเราทำแบบเขาไม่ได้ ในที่สุดเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราเกลียดสิ่งที่เขาทำโดยไม่รู้ตัว แม้ว่ามันจะเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จก็ตาม รวมถึงเราจะเกลียดทุกคนที่เก่งกว่าเรา และสุดท้ายเราจะจมปลักอยู่กับการด้อยโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอิจฉาคนที่เก่งกว่าเรา ผมจะบอกเคล็ดลัพธ์ให้ว่า…สิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด คือการเดินไปหาเขาแล้วถามวิธีการว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร เขาทำอย่างไรมันจึงประสบความสำเร็จ
6. เชื่อว่าคุณสำเร็จได้ (believe in success)
ต้องเชื่อว่าความสำเร็จสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ แม้ว่าจะเกิดมาบนพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวยก็ตาม แต่ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าเราไม่ทุ่มเทชีวิตไปกับความคิดและข้ออ้างที่ทำให้เราไม่พัฒนา เช่น ฉันทำไม่ได้หรอก เพราะบ้านจน ไม่มีเส้นสาย หน้าตาไม่ดี
ข้ออ้างต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากปลอบใจให้คนที่จมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ได้มีข้อแก้ตัวไปวัน ๆ ดังนั้น ถ้าเรารู้แล้วว่าเราขาดแคลนปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ประสบความสำเร็จ เราก็ต้องโฟกัสไปกับการสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ถ้าเรามีความตั้งใจ มีความเชื่อมั่น สุดท้ายมันจะมีหนทาง
8. ทำตัวให้คู่ควรตั้งแต่วันนี้
ถ้าเราบอกว่าเราคู่ควรกับเงินพันล้าน แต่เราทำตัวเหมือนคนที่คู่ควรกับสิบล้าน เราก็จะได้ในสิ่งที่เราทำ บางคนเป็นพนักงานประจำ แต่ทำตัวให้เหมือนผู้จัดการ วันหนึ่งเขาก็จะได้เป็นผู้จัดการจริง ๆ หรือบางคนเป็นผู้จัดการ ถ้าเขาทำตัวเป็นเหมือนผู้บริหาร วันหนึ่งเขาก็จะได้เป็นผู้บริหารจริง ๆ เพราะชีวิตจะจัดสรรในสิ่งที่คู่ควรให้กับเราเสมอ
ถ้าคุณทำตัวคู่ควรที่จะประสบความสำเร็จ และทำมันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เมื่อโอกาสมาถึง คุณจะได้รับมันก่อน เพราะคุณได้ผ่านการ ซ้อม ซ้อม ซ้อม เพื่อจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
8. ตั้งเป้าหมายให้ไกล
ผมเป็นคนที่มองเห็นศักยภาพของผู้อื่นอยู่เสมอ บางคนผมรู้ว่าเขาไปได้ไกลกว่านี้ แต่เขากลับไปไม่สุดทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ดังนั้น ผมคิดว่ามันจะต้องเริ่มจากการที่เราเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้เสียก่อน ว่าเราเป็นใครและเรามีเป้าหมายอะไร
เราจะต้องมีเป้าหมายระยะไกล แล้วใช้หมุดหมายระยะสั้น ๆ เป็นตัวควบคุมความสำเร็จ เช่น ถ้าตั้งเป้าหมายว่าอีก 10 ปี จะมีเงินหมื่นล้าน เราก็ต้องมีหมุดหมายระยะสั้น ว่าปีแรกจะต้องได้ 300 ล้าน ปีต่อมาเพิ่มเป็น 800 ล้าน ปีถัดมาเพิ่มเป็น 1,000 ล้าน ซึ่งการมีหมุดหมายระยะสั้น ๆ แบบนี้ ที่ปักเอาไว้ตลอดเส้นทางระหว่างก้าวเดิน จะทำให้เรารู้ว่าเราเดินไปทางไหน ทำให้ไม่หลงทาง และรู้ด้วยว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้เป้าหมายหรือเปล่า
9. ให้ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าความสำเร็จ จะเล็กหรือใหญ่ เราจะต้องชื่นชมยินดี อย่างหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา เพราะการเฉลิมฉลองแม้ว่ามันจะเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจและได้รับการเติมเต็ม รวมถึงการเห็นข้อดีจากเรื่องเล็ก ๆ จะเป็นการช่วยจูนความถี่ให้เรามองเห็นโอกาส
ผมบอกได้เลยว่า ถ้าหากเราไม่ฝึกขอบคุณในสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ เราอาจจะพลาดความสำเร็จหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตไปเลยทีเดียว เพราะการที่เราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ความสำเร็จที่อยู่ไกลตัวก็ดูจะไกลเกินจริง
หลายคนไม่เคยรู้สึกด้วยซ้ำว่าการตื่นขึ้นมาในตอนเช้า คือของขวัญที่โลกใบนี้มองให้กับเรา มันน่าเสียดายมาก ๆ ถ้าเรามองไม่เห็นมัน
10. ให้คำมั่นสัญญากับสิ่งที่ทำ
เราจะต้องบอกกับตัวเองว่าเสมอว่า อะไรก็ตาม ถ้าหากเป็นสิ่งที่เราอยากทำ เราจะทำมันอย่างต่อเนื่อง ทำมันจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และจะไม่ล้มเลิกแม้ว่าจะล้มเหลว เพราะถ้าเรารักษาคำมั่นสัญญานี้เอาไว้ได้ สุดท้ายมันจะเป็นการมุ่งไปสู่เป้าหมาย ด้วยความเพียรพยายาม โดยไม่ย่อท้อต่อคำมั่นสัญญาณที่ให้ไว้กับตัวเอง และเชื่อเถอะว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าคำมั่นสัญญาจะตอบแทนเราแน่นอน
และทั้งหมดนี้ก็คือ คุณจะเปลี่ยนความเชื่อทางการเงินที่เป็นภัย…ได้ยังไง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญมาก ถ้าหากเราอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตและมั่งคั่ง เนื่องจากความเชื่อถือเป็นเบื้องลึกที่กำหนดพฤติกรรมา ดังนั้น การเงินของเราจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากทัศนคติหรือความเชื่อของเราทั้งสิ้น
ในวันนี้ถ้าเราได้เรียนรู้และปรับเปลี่ยนความเชื่อใหม่ ก็จะทำให้เกิดรูปแบบพฤติกรรมใหม่ และกระแสการเงินของเราก็จะเปลี่ยนไป