จะทำธุรกิจควรคิดเรื่องอะไรบ้าง

[xyz-ips snippet="Podcast"]
พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์

เวลาที่เราจะเริ่มต้นทำธุรกิจ ทุกคนจะต้องเริ่มต้นจากความคิด แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่าจะคิดแบบไหน จะคิดอย่างไร เพราะว่าถ้าคิดถูกก็ทำถูก แต่ถ้าคิดผิดก็ทำผิด เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดการกระทำ และการกระทำเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ ถ้าหากเราคิดถูก ก็แสดงว่าเรามีโอกาสประสบความสำเร็จมาเกินครึ่งแล้ว

ดังนั้น ผมอยากให้คนที่คิดจะทำธุรกิจ มาเริ่มต้นเรียนรู้กันก่อนว่าเราควรจะคิดเรื่องอะไรบ้าง หรือแม้แต่คนที่ทำธุรกิจมานานแล้ว ก็อาจจะลองย้อนกลับไปทบทวนดูก็ได้ว่าเราลืมตรงไหนไปหรือเปล่า

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/6567607/

1. Customer – ลูกค้ากูอยู่ไหน

ความผิดพลาดของหลาย ๆ คนในวันนี้ คือเวลาที่จะเริ่มทำธุรกิจ มักจะไปตั้งต้นที่สินค้า โดยลืมคิดถึงลูกค้า เพราะเราไม่ได้คิดถึงลูกค้า สินค้าที่ออกมาก็อาจจะขายไม่ได้ เพราะลูกค้าไม่ต้องกัน ดังนั้น เราจะต้องเอากลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นลูกค้ามาเป็นตัวตั้ง ดังนี้

  • Pains – ปัญหาของลูกค้าอยู่ที่ไหน ถ้าเรารู้ว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร แล้วเราเสนอสิ่งที่มันเป็นทางออกให้กับลูกค้าได้ ทำให้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
  • Gains – ลูกค้าอยากได้อะไร ซึ่งในจุดนี้เราจะต้องคิดถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ลูกค้าบางคนอาจจะไม่รู้ความต้องการของตัวเองก็ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร เขาจึงไม่รู้ว่าอยากได้อะไร ดังนั้น เราจะต้องมีความสามารถที่จะนำเสนอสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้น เราจะต้องนำเสนอสิ่งที่ดีกว่าเดิม แม้อาจจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าไม่คาดคิดมาก่อนก็ตาม
  • Potential – ความเป็นไปได้ในการเติบโต เราจะต้องคิดด้วยว่าธุรกิจที่เราจะทำมันเป็นไปได้แค่ไหน เวลาที่เราดูลูกค้า เราไม่ได้ดูแค่ความพึงพอใจของลูกค้าอยากเดียว แต่เราจะต้องดูฐานลูกค้าด้วยว่ามันเล็กเกินไปหรือเปล่า ถ้ามันเล็กเกินกว่าที่จะเติบโตได้ในอนาคต ก็อาจจะเป็นไปแค่การทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่สามารถพัฒนาให้เป็นธุรกิจได้
  • Habbit – พฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันคืออะไร หลายครั้งที่เราคิดว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าพฤติกรรมของลูกค้ายังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราทำก็ไปไม่รอด ดังนั้น พฤติกรรมของลูกค้า กับสินค้าของเรามันต้องไปด้วยกันได้
  • Price point – ลูกค้ายอมจ่ายอยู่เท่าไหร่ คือสิ่งที่เราจะต้องคิดด้วย

กรณีศึกษา มีลูกค้าของผมคนหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งมีปัญหาก็คือ เขาไม่รู้เลยว่าเซลล์ที่เขาส่งให้ไปทำงานในต่างจังหวัดนั้น ได้ไปทำงานจริง ๆ หรือเปล่า หรือว่ามีแวะออกนอกเส้นทางแอบไปเที่ยวไหม ผมก็เลยได้ออกแบบระบบการทำงานขึ้นมา เพื่อให้เซลล์สามารถสั่งออเดอร์ผ่าน ipad เพื่อแจ้งออเดอร์เข้ามาที่บริษัทได้ ซึ่งจะทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถติดตามการทำงานของเซลล์ได้ เพราะระบบนี้มีการติดตาม GPS ว่ากดสั่งออเดอร์เข้ามาจากที่ไหน ไปหาลูกค้าจริงหรือเปล่า รวมถึงเซลล์เองก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะจะรู้ว่าตอนนี้มีโปรโมชั่นอะไรใหม่ ๆ ที่อัพเดทบ้าง โดยที่ไม่ต้องจดใส่กระดาษเหมือนแต่ก่อน ซึ่งผมสามารถที่จะขายระบบนี้ให้กับลูกค้าได้ในราคาล้านกว่าบาท

นี่เป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจ ที่เราคิดที่จะดูแลลูกค้ามาเป็นอันดับแรก เอาปัญหาของลูกค้าเป็นตัวตั้ง จนทำให้เกิดสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ และขายได้…

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/6567284/

2. Competitor – ก่อนเจอเราเขาเจอใคร

เวลาเราจะทำธุรกิจอะไร นอกจากเราจะคิดถึงลูกค้าแล้ว สิ่งที่สำคัญอันดับต่อมาก็คือการคิดถึงคู่แข่ง อย่ามั่นใจตัวเองจนเกินไป ว่าสินค้าของเราดีเลิศ แต่ให้เราถามตัวเองเสมอว่า “ก่อนที่ลูกค้าจะเจอเราเขาเจอใครมาก่อน…” นั้นก็คือคู่แข่งนั่นเอง

  • Segment –คู่แข่งของเรามีกี่ประเภท เพราะคู่แข่งของเราบางครั้งก็มาจากตลาดกลุ่มอื่น เช่น ถ้าเราจะขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เราจะต้องมองให้ขาดว่าคู่แข่งของเราไม่ใช่แค่ธุรกิจที่ขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ยังหมายถึง ระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า รถเมล์ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เหล่านี้ก็เป็นคู่แข่งของเราด้วย
  • Strengths – คู่แข่งมีจุดเด่นตรงไหน ทำอะไรได้ดี อะไรเป็นสิ่งที่ดีเราต้องทำให้ได้เหมือนเขา หรือต้องทำให้ดีกว่าเขา
  • Weakness – คู่แข่งมีจุดอ่อนอะไร และให้ระลึกเสมอว่า ยิ่งคู่ต่อสู้ตัวใหญ่ ยิ่งมีจุดให้ตีมากขึ้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า
  • Strategies – คู่ต่อสู้ใช้กลยุทธ์อะไรถึงมาจุดนี้เรา เราทำแบบเขาได้ไหม ถ้าอันไหนทำไม่ได้เราก็ต้องหาทางทางออมไปทำแบบอื่น แต่สามารถไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน
  • Gap – ใครเป็นเบอร์ 1-2-3 ในตลาด ณ ปัจจุบันนี้ แล้วยังเหลือส่วนแบ่งในตลาดให้เราลงไปเล่นอยู่ไหม ถ้าเหลือ เหลือเท่าไหร่ มันคุ้มไหมที่เราจะลงไปเล่น

กรณีศึกษา มีบริษัทหนึ่งที่ผมไปให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ของแบรนด์ ซึ่งเป็นธุรกิจระดับร้อยล้าน สินค้าของเขาจัดอยู่ในหมวดขนมขบเคี้ยว แต่พอเราได้มีการให้คำนิยามลงไปลึก ๆ แล้ว ปรากฏว่าบริษัทนี้ยังต้องไปแข่งในตลาดของธุรกิจกาแฟอีกด้วย และเมื่อเราเข้าใจกลุ่มลูกค้า เช้าใจกลุ่มตลาด ในส่วนที่สินค้ามันชดเชิญกันได้ เราก็จะรู้ว่าเราต้องแข่งกับใครบ้าง  และพวกเขามีจุดเด่นอะไรที่ทำได้ดี…เราก็ต้องทำด้วย รวมถึงเราจะต้องหาจุดเด่นที่คนอื่นยังไม่มี เพื่อสร้างความแตกต่างและดีกว่า

หลังจากนั้นก็จะมีการสำรวจตลาดว่าตอนนี้ใครเป็นเบอร์ 1 2 3 ปรากฏว่า ตอนนี้เบอร์ 1 2 3 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมดไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ และเหลือพื้นที่ว่างให้เราลงไปเล่นได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะต้องมาดูต่อว่าในพื้นที่ว่างตรงนั้น ยังมีใครที่ลงมาเล่นแข่งกับเราบ้าง แล้วถ้าเราแบ่งส่วนนั้นมาได้ 3 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ เราอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ จะอยู่ได้กี่ปี มีผลกำไรเท่าไหร่ เป็นต้น

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/34092/

3. Company – บริษัทเราเป็นยังไง

หลังจากที่เราคิดถึงลูกค้า คิดถึงคู่แข่งไปแล้ว ลำดับมาเราต้องคิดถึงตัวเอง เพราะการทำธุรกิจก็เหมือนการทำสงคราม ก่อนที่เราจะเปิดแนวรบ เราจะต้องรู้จักคู่แข่ง รู้จักสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะต้องไปเจอ สุดท้ายแล้วก็ต้องย้อนกลับมาดูศักยภาพของตัวเราก่อน ว่าเรามีความพร้อมแค่ไหนในการที่จะออกไปรบกับเขา การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน รู้เขาแล้วก็ต้องกลับมารู้เรา

  • Positioning – เรามีจุดยืนที่แตกต่างอย่างไร และแตกต่างมากพอใหม่ เพราะถ้าไม่แตกต่างมากพอ สุดท้ายลูกค้าก็ไม่สนใจ
  • Promise – คำมั่นสัญญาที่เราจะให้ลูกค้า คือประโยชน์ที่เราจะส่งมอบให้กับลูกค้า แต่ไม่ใช่บอกว่าสินค้าของเราทำอะไรได้บ้าง เพราะไม่ใช่เรื่องของฟังชั่นการใช้งานสินค้า แต่เป็นเรื่องคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ
  • Product – ในวันนี้เราจะส่งมอบสินค้าอะไรให้กับลูกค้า และถ้าในวันหนึ่งข้างหน้าสถานการณ์เปลี่ยน ความต้องการลูกค้าเปลี่ยน เราก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนสินค้าด้วย
  • Pathway – มีสินค้าที่ทำให้ลูกค้าซื้อต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าตอนนี้ลูกค้าไม่สามารถซื้อได้อย่างต่อเนื่อง เราจะต้องมีเส้นทางอื่น ๆ เพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าของเราได้อย่างต่อเนื่อง
  • Purpose – ทำไมลูกค้าจึงต้องแคร์ที่จะซื้อสินค้าจากเรา เราต้องตอบคำถามนี้ให้ได้คำตอบ ถ้าหากเราเองยังไม่รู้ ลูกค้าก็ไม่มีวันรู้

กรณีศึกษา ตอนที่ผมทำงานประจำอยู่ เคยเอาแบรนด์สินค้าต่างประเทศมาทำ มาปั้นให้มันดัง ซึ่งเจ้านายผมจะพูดกับผมเสมอว่า เราเอาแบรนด์เขามาทำ ก็เหมือนกับเอาลูกเขามาเลี้ยงนะ วันหนึ่งถ้าพ่อแม่เขามาเอาคืน เราก็จะไม่เหลืออะไร

ดังนั้น อย่าไปยึดติด ถ้าวันหนึ่งสินค้ามันไม่ตอบโจทย์แล้ว ถ้าสถานการณ์มันเปลี่ยนแล้ว เราก็ต้องพร้อมที่จะทิ้งมัน เพราะเก็บไว้ก็สิ้นเปลืองทรัพยากรในการดูแล หรือแม้แต่บ้างครั้งถ้าจำเป็นต้องฆ่าทิ้ง เราก็ต้องทำ ดีกว่าเก็บไว้ให้คู่แข่งมาฆ่า

เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะทำธุรกิจอย่างยึดติดในตัวสินค้า ให้คิดเสียว่าสินค้าคือพาหนะที่พาเราไปสู่เป้าหมาย วันหนึ่งถ้าพาหนะพาเราไปต่อไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนพาหนะใหม่

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/3182812/

4. Collaborator – ผู้ร่วมทำงาน

เพราะการทำธุรกิจคือการทำงานเป็นทีม แม้แต่ธุรกิจที่บางคนคิดว่าตัวเองทำคนเดียว แต่ถ้าไปพิจารณาจริง ๆ สุดท้ายแล้ว ก็จะพบว่าเราไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่จะต้องมีผู้ร่วมทำงานอื่น ๆ ด้วย เช่น

  • Supplier – ผู้ที่หาสินค้ามาให้เรา
  • Distributor – ผู้ที่กระจายสินค้าให้เรา
  • Service provider – มีผู้ให้บริการอะไรที่ต้องใช้บ้าง
  • Team – ต้องมีทีมงานแบบไหน
  • Investor – นักลงทุน

ดังนั้น ในการทำธุรกิจ เราจะต้องคิดด้วยว่า เราต้องทำงานร่วมกับใครบ้าง แล้วในแต่ละขั้นตอนเราจะต้องจ่ายค่าตอบแทนผู้ที่มาร่วมงานกับเราเท่าไหร่ ถ้าเราจ่ายไปในราคาที่เหมาะสม ผู้ร่วมงานเราก็อยู่ได้ เมื่อเขาอยู่ได้เราก็อยู่ได้

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/374820/

5. Context – บริบท

เราต้องเป็นนักสังเกตการณ์ด้วยเวลาทำธุรกิจ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันทำแต่ของตัวเอง ไม่ดูสิ่งแวดล้อมภายนอกเลย เพราะเรื่องของบริบทหรือปัจจัยภายนอก เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เราจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องเพื่อให้ธุรกิจของเราอยู่รอด ดังนี้

  • Economy / Political – เศรษฐกิจและการเมืองเป็นอย่างไร เพราะยังไงธุรกิจของเราก็จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยนี้ไม่มากก็น้อย
  • Regulations – กติกา / กฎหมาย เป็นอย่างไร ธุรกิจที่เราจะทำ กับกฎกติกาที่มีอยู่มันสอดคล้องกันหรือเปล่า ถ้าอันไหนที่ไม่สอดคล้องกันเราก็ต้องปรับ ถ้าคิดว่าปรับไม่ได้เราก็ต้องเปลี่ยนไปทำในรูปแบบอื่นแทน
  • Stage of business – ธุรกิจอยู่ช่วงไหน เพราะกลยุทธ์ในการทำไม่เหมือนกัน โฟกัสกันคนละเรื่อง
  • Innovation / Techonologies – เราควรที่จะช่วงชิงความได้เปรียบจากเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม
  • Consumer trends – ตอนนี้ลูกค้าไปทางไหน เราต้องไปทางนั้น เราก็ต้องเท่าทันการเปลี่ยนแปลง

และทั้งหมดนี้ก็คือ จะทำธุรกิจควรคิดเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งถือเป็นเนื้อหาที่มีความสำคัญและลึกซึ้งในการทำธุรกิจพอสมควร เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ผมจะเอาไปสอนในหลักสูตรสัมมนา แต่สำหรับบางคนถ้าใครได้อ่านแล้วหากสามารถเอาไปทำได้เลย ผมก็ยินดี แต่สำหรับบางคน ถ้าอยากจะมาเรียนรู้เพิ่มเติมตามหลักสูตรที่ผมได้ออกแบบไว้ ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทำให้มีเพื่อน ได้มีการเครือข่าย ได้การรับคำแนะนำปรึกษาในเชิงลึก ก็สามารถที่จะมาเรียนรู้จากหลักสูตรสัมมนาของผมได้ด้วยเช่นกัน

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า ปีหน้าจะทำอย่างไร

ไร้สาระสิ้นดี!!! ทำงานก็มีผลลัพธ์
แล้วทำไมต้องประจบเจ้านาย บ้าไปแล้ว
ทำไมไม่ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินหละ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมคนที่เก่งคน
เก่งการนำเสนอ และเจ้านายรัก
ถึงมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น?

อ่านต่อ »

เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

ทำงานดีทั้งปี เจ้านายไม่เห็นผลงาน
เจ้านายไม่รู้ เจ้านายไม่เห็นความสำคัญ
เพราะไม่ตรงกับเป้าหมาย ทำให้ตายก็
ไม่ไปไหนซักที
เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

อ่านต่อ »

รับสิทธิพิเศษมั๊ย?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

ลงทะเบียนตอนนี้ รับ E-Books ฟรี!!