ดึงศักยภาพทีมงานอย่างไรให้ดีขึ้น 10 เท่า

[xyz-ips snippet="Podcast"]

พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์

                อุปสรรค์สำคัญของ SME อย่างหนึ่งนั้นก็คือการไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อตัวพนักงานเก่ง ๆ ได้เหมือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “ถ้าเราเป็น B-player เราจะต้องจ้าง A-player เข้ามาทำงานให้” ทุกคนน่าจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ถึงแม้ว่าเรามีเงินมากพอ ก็ไม่ได้หมายความว่า A-player จะเข้ามาทำงานกับเรา

            ดังนั้น อุปสรรค์ของการหน้าคนเก่งมาทำงานด้วยกันคือ ใช้เงินเยอะ แถมบางทีถึงแม้ว่าเราจะมีเงินจ้าง แต่เขาอาจจะไม่อยากมาทำงานกับเราก็ได้ หรือแม้กระทั้งเราจ้างมาแล้ว เราก็ไม่สามารถใช้งานเขาได้เต็มศักยภาพ คล้าย ๆ กับเราซื้อรถ Ferrari มาขับ แต่ตัวเราพึงจะหัดขับรถใหม่ ๆ ยังใช้ความเร็วได้เต็มที่แค่ 120-150 ก็สุดความสามารถที่จะควบคุมได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ต่างกับการที่เราได้คนเก่งขั้นเทพมาทำงานให้ แต่เรากลับไม่เชี่ยวชาญพอที่จะใช้งานเขาได้อย่างเต็มที่ และเกิดปัญหาขึ้นมาได้ในภายหลัง

            การจ้างคนเก่งเข้ามาทำงานด้วย ถ้าระบบของเรายังไม่พร้อม ทีมงานเดิมของเรายังไม่พอ ปัญหาก็สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกัน เหมือนกับเราเอาเครื่องยนต์แรง ๆ ไปประกอบเข้ากับรถยนต์คนละรุ่นที่มีความสามารถต่างกันมาก ๆ

            ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เราน่าจะเอามาคิดก็คือ ด้วยพนักงานที่มีอยู่ในมือของเราตอนนี้ เราจะทำอย่างไรในการดึงศักยภาพของทีมงานออกมาให้ได้มากขึ้น ทำอย่างไรให้เขาเก่งมาขึ้น ให้ระบบงานของเราสามารถรองรับคนเก่ง ๆ ที่จะเข้ามาทำงานด้วยได้ดียิ่งขึ้น

            และเมื่อเราอยากจะพัฒนาทีมงานของเราให้ดียิ่งขึ้น ผมก็จะนำเอาแนวทางดี ๆ มาแบ่งปันกัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผมได้มีประสบการณ์ผ่านมาด้วยตัวเอง

  1. ชื่นชมเมื่องานก้าวหน้า

คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปข้างหน้า มุ่งที่การพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนลืมที่จะหยุดให้กำลังใจทีมงาน หรือในบางครั้งก็มักจะให้เสียงสะท้อนที่ทำให้ทีมงานหมดกำลังใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการคำชม แม้ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม เจ้าของธุรกิจอาจจะไปโฟกัสที่ความก้าวหน้าก็ได้ และควรที่จะให้ทีมงานรับรู้ได้เป็นรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่าด้วยวาจา แต่ถ้าครั้งไหนมันเป็นความก้าวหน้าที่โดดเด่น ก็อาจจะมีการประกาศให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ มีการให้รางวัลตอบแทน ก็สามารถทำได้

“ไม่ว่าจะก้าวเล็ก หรือก้าวใหญ่ ขอแค่ก้าวไปในทุก ๆ วันก็เพียงพอ”

  1. มีกิจกรรมสันทนาการเพื่อปล่อยความเครียด

สมัยก่อนผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย เพราะไม่มีประสบการณ์มากนัก คืออยากทำงานอย่างเดียว ไม่อยากไปเที่ยว ไปทัศนาจร ไปทำกิจกรรมอะไรนอกเหนือจากงาน เพราะคิดว่ากลับมาแล้วงานมันจะพอกเอาไว้เยอะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนที่อยากประสบความสำเร็จเร็ว ๆ ที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต

แต่เมื่อผมโตขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น ผมก็ได้เข้าใจว่า การปลดปล่อยความเครียดก็มีความสำคัญ เหมือนกับกาน้ำร้อนที่ต้มอยู่บนเตาเดือด ๆ ถ้าหากไม่มีจุดระบายความดันออกมาเลย มันก็จะระเบิด

ดังนั้น กิจกรรมสันทนาการจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมผู้คน ทำให้คนต่างแผนกรู้จักกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น และเมื่อสนิทกันก็ทำงานร่มกันได้ง่ายขึ้น รวมถึงในบ้างครั้งก็เชื่อมหัวหน้ากับลูกน้อง ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่หลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว

ซึ่งการที่จะเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้นั้น จะต้องอาศัยกิจกรรม หรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม เกมกีฬา หรือกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อปลอดภัยความเครียด ทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้น

  1. ชีวิตส่วนตัวดี งานก็ดีขึ้น

ผมเองมีโอกาสได้ไปช่วยหลาย ๆ บริษัทในการทำสัมมนาให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารจัดการชีวิตส่วนตัวของพนักงาน ซึ่ง HR ส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่าทำไปแล้วบริษัทจะได้อะไร เนื้อหามันเกี่ยวกับแต่เรื่องชีวิตของพนักงาน ในขณะที่บริษัทไม่สามารถจับต้องได้ว่าเรียนไปแล้วจะเอามาเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้อย่างไร

แต่ผมก็อยากบอกว่า ถ้าชีวิตของพนักงานดี ไม่มีหนี้ มีการวางแผนอนาคตว่าทำงานไป 3-5 ปีแล้วชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร มีบ้าน มีรถ มีความมั่นคงแบบไหน ถ้าพนักงานของเราไม่มีความกังวลเกี่ยวกับชีวิต เขาก็จะสามารถโฟกัสกับเรื่องงานได้เต็มที่

ลองนึกภาพ ถ้าพนักงานของเราเลิกงานแล้ว ต้องหลบเจ้าหนี้ที่มายืนรอทวงหนี้อยู่หน้าบริษัท หรือสามี ภรรยา มาตบมาตีกันหน้าบริษัท มันก็คงเป็นภาพที่ไม่ชวนให้ทำงานอย่างมีความสุขเท่าไหร่ บรรยากาศในการทำงานก็เสีย

ผมอยากให้เราคิดว่า พนักงานที่เข้ามาทำงานกับเรานั้นเป็นเหมือนกับลูกของเรา เราก็ต้องดูแลเขาให้ดี

“ชีวิตของพนักงาน คือลมหายใจของบริษัท”

  1. เป้าหมายชัดเจน วิธีการปรับได้โดยให้พนักงานคิด

เรื่องเป้าหมายคือสิ่งที่เจ้าของธุรกิจเป็นผู้กำหนด แต่ส่วนวิธีการนั้นก็ควรที่จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงฝีมือ เพราะเป้าหมายเป็นสิ่งที่จะไปเปลี่ยนแปลง แต่วิธีการไปสู่เป้าหมายนั้นยืดหยุ่นได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น งานออกแบบ งานขาย งานโฆษณา รูปแบบการทำงานมันอาจจะไม่มีลักษณะตายตัว ดังนั้น วิธีการต่าง ๆ เราก็ควรจะให้ลูกน้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ ส่วนหน้าที่ของเราที่เป็นหัวหน้างาน เราเพียงแค่กำหนดหมุดหมายในแต่ละช่วงเอาไว้ เพื่อไม่ให้ลูกน้องหลงทางก็เพียงพอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น กำหนดเป้าหมายว่าให้ไปถึงภูเก็ตภายใน 15 ชั่วโมง แล้วก็เซ็ทหมดหมายว่า

  • 3 ชั่วโมงแรกต้องไปถึงหัวหิน
  • 3 ชั่วโมงต่อมาเราจะถึงระนอง
  • 3 ชั่วโมงต่อมาต้องไปถึง……

สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของหมุดหมายที่เรากำหนดเอาไว้ว่าเราอยากจะเห็นอะไรบ้าง ส่วนวิธีการเป็นของลูกน้อง เขาจะทำอะไรก็เป็นสิ่งที่เขาต้องคิดต่อเอง

และแม้ว่าบางบริษัทจะมีระบบงานที่ดีมาก ๆ มีระบบที่ผ่านการทำซ้ำจนนิ่งแล้ว เราก็ควรเปิดโอกาสในการที่จะค้นพบวิธีการใหม่ ๆ บ้างในบางครั้ง เพราะโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าเรายังยึดติดกับวิธีการเดิม และมันใจว่ามันจะใช้ได้ตลอดไป บางทีก็ไม่มีใครรับประกันว่า มันจะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน

  1. สนับสนุนความรู้ในการทำงาน

ควรจะสนับสนุนให้เกิดระบบการเรียนรู้ในองค์กร เช่น หัวหน้าสอนงาน เพื่อนสอนงาน รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง หรือส่งพนักงานไปเรียนสัมมนา หรือจ้างที่ปรึกษาไปให้คำแนะนำกับพนักงาน รวมถึงการให้พนักงานได้ไปศึกษาดูงานในบริษัทตัวอย่างก็สามารถทำได้เช่นกัน

            เพราะการส่งเสริมความรู้ในการทำงาน จะช่วยประหยัดเวลาในการลองผิดลองถูก งบประมาณที่เราจ่ายลงไปนั้น อาจจะช่วยประหยัดมูลค่าความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ได้

“พนักงานที่ทำงานบนความไม่รู้นั้น มันมีต้นทุนและความเสี่ยงที่กว่าปกติเสมอ”

  1. สนับสนุนเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานได้เร็ว / ง่ายขึ้น

การให้พนักงานออกไปทำงาน ก็ไม่ต่างอะไรกับการออกรบ บางบริษัทคิดว่าตัวเองได้ให้อาวุธกับพนักงานอย่างครบถ้วนแล้ว เพราะให้ทั้ง ดาบ หอก ธนู โล่ แต่พนักงานก็อาจจะรู้สึกว่าอาวุธมันยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่เขากำลังจะไปสู้คือ…รถถัง!!!

ดังนั้น เจ้าของธุรกิจก็ต้องดูด้วยว่าเรากำลังจะให้พนักงานไปเจอกับอะไร และเครื่องมือที่เราให้กับพนักงานของเรานั้น มันมีความสามารถเพียงพอที่จะเอาไปสู้รบกับคู่แข่งได้หรือเปล่า ไม่ใช้คาดหวังแต่ชัยชนะ แล้วผลักภาระความรับผิดชอบให้พนักงาน

ผู้ประกอบการยุคใหม่ ต้องมีเครื่องมือที่ดีพอให้กับลูกน้อง ควรที่จะเปิดกว้าง เรียนรู้ และรู้จักเทคโนโลยีใหม่ ๆ ถ้าอะไรที่สามารถนำมาใช้แล้วช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้ดีขึ้นได้ ก็ควรนำมาให้พนักงานได้ใช้

  1. รู้จักชีวิตของพนักงาน

ถ้าชีวิตส่วนตัวดี การทำงานก็จะดีขึ้น ดังนั้น ในฐานะที่เราได้เป็นหัวหน้างาน ได้เป็นเจ้านาย เราก็ต้องรู้ว่าพนักงานในเรื่องพื้นฐาน เช่น เขาชอบอะไรเพื่อที่เราจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ตรงตามสิ่งที่เขาอยากได้ พื้นเพเป็นคนแบบไหน มาจากจังหวัดอะไร มีค่านิยมอย่างไร ครอบครัวเป็นแบบไหน และเป้าหมายของชีวิตอย่างไร เพื่อให้เราเข้าใจแรงจูงใจ เข้าใจแรงขับเคลื่อนภายในของเขาว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งเราที่เป็นหัวหน้าถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็จะช่วยให้เกิดการพัฒนาและยกระดับความสามารถของเขาให้สูงขึ้นได้

“ถ้าเราช่วยให้ลูกน้องเข้าใกล้เป้าหมายของชีวิต

มันก็คือการช่วยให้บริษัทเข้าใกล้เป้าหมายขององค์กรเช่นกัน”

  1. สื่อสารชัด เพื่อขจัดความไม่เข้าใจ
    ความขัดแย้งจำนวนมากที่เกิดขึ้นในองค์กรนั้นเกิดมาจากการตีความเอาเองคนเดียว ดังนั้น เจ้าของบริษัทควรจะสร้างวัฒนธรรมที่เปิดพื้นที่สำหรับการสื่อสาร
  • มีข้อสงสัย ให้คุย
  • ไม่พอใจ ให้คุย
  • ดีใจ ให้คุย
  • ไม่ถูกใจ ให้คุย

รูปแบบการสื่อสารที่ดี ต้องทำให้เกิดการสื่อสารที่ชัด ขจัดข้อขัดแย้ง แฝงไว้ซึ่งทางออก การพูดตรงไม่ใช่ ด่ากัน แต่การพูดตรง สื่อสารตรงคือบอกว่า

  • คุณให้ความหมายอย่างไร
  • คุณรู้สึกกับเรื่องนั้นอย่างไร
  • คุณอยากให้ตอบสนองแบบไหน เพื่อให้งานดีขึ้น

เพราะถ้าหากเราสามารถสื่อสารได้ตรงกัน ได้ชัด ปัญหาก็ไม่เกิด หรืออะไรที่เป็นข้อขัดแย้งก็สามารถพบทางออกได้

“การสื่อสารตรง ไม่ใช่การสื่อสารแบบหยาบคาย”

  1. สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความเป็นไปได้
  • พนักงานบางคนไม่รู้ตัวว่าเก่งบางเรื่อง
  • พนักงานบางคนไม่รู้ว่ามีดีบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับงาน พนักงานบางคนไม่ได้เรื่องงาน แต่ได้เรื่องคน
  • พนักงานบางคนไม่เคยเห็นความเป็นไปได้ของตัวเอง ว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง
  • พนักงานบางคนไม่เคยคิดฝันอย่างยิ่งใหญ่

ดังนั้น หน้าที่ของเจ้านายคือสร้างความเป็นไปได้ใหม่ในใจพนักงาน เงินอาจจะช่วยให้พนักงานมีกิน มีใช้ มีชีวิต แต่แรงบันดาลใจจะช่วยให้พนักงานไม่หมดแรง

  1. ใช้ SMART GOALS ในการวางแผนการทำงาน
  • Specific เจาะจง
  • Measurable วัดได้
  • Actionable ทำได้ มีขั้นตอน
  • Realistic สมเหตุผล
  • Timeline กำหนดระยะเวลา
  1. ฟังมากกว่าพูด ฟังให้ได้ยินสิ่งที่เขาไม่ได้พูด

            เวลาเราฟังต้องฟังให้ลึกซึ้ง ฟังจากบริบทของเขา ฟังจากกรอบความคิดของเขา เขาเป็นพนักงานระดับไหน เจอเจ้านายแบบไหนมา ฟังความรู้สึกของเขา ไม่ใช่ฟังแค่ประเด็นที่เขาพูด และต้องฟังให้ออกว่าเขาอยากได้อะไร ฟังให้ได้ยินในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด

ซึ่งทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่คนเป็นหัวหน้าควรไปฝึกฝนเลยก็คือ Facilitation conversation เพื่อให้การสนทนามีความลื่นไหลมายิ่งขึ้น

  1. พูดขอบคุณให้ติดปาก

มนุษย์ทุกคนอยากจะเป็นที่ต้องการ อยากได้รับการยอมรับ อยากภาคภูมิใจในตัวเอง อยากมีคุณค่า ดังนั้น จงพูดคำว่า “ขอบคุณ” ให้ติดปาก เพื่อให้พนักงานมีความสุขที่เรามองเห็นคุณค่าในตัวเขา

แต่มันไม่ใช่การหลอกใช้พนักงาน ให้มาทำงานเพื่อเรา ให้มาภักดีต่อเรา แต่มันคือการฝึกความมีเมตตา ซึ่งคุณธรรมของนี้ ผู้นำทุกคนควรจะมี เพราะความเมตตาจะนำความสุขมาสู่ทั้งผู้ให้และผู้รับ ก่อนที่เราจะไปชนะคู่แข่งที่อยู่ข้างนอก เราชนะใจตัวเองแล้วหรือยัง และก่อนที่เราจะให้พนักงานของเราออกไปสู้กับคู่แข่ง เราชนะใจพวกเขาแล้วหรือยัง

            และทั้งหมดนี้ก็คือ ดึงศักยภาพทีมงานอย่างไรให้ดีมากขึ้น ซึ่งเทคนิคที่ผมให้ทั้ง 12 ข้อนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถจะนำเอาไปใช้ได้เลย เพื่อให้พนักงานของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้องค์กรมีคนเก่งเกิดขึ้นมาอีกมากมาย อันเกิดจากการอบรมบ่มเพาะของเราเอง

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า ปีหน้าจะทำอย่างไร

ไร้สาระสิ้นดี!!! ทำงานก็มีผลลัพธ์
แล้วทำไมต้องประจบเจ้านาย บ้าไปแล้ว
ทำไมไม่ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินหละ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมคนที่เก่งคน
เก่งการนำเสนอ และเจ้านายรัก
ถึงมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น?

อ่านต่อ »

เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

ทำงานดีทั้งปี เจ้านายไม่เห็นผลงาน
เจ้านายไม่รู้ เจ้านายไม่เห็นความสำคัญ
เพราะไม่ตรงกับเป้าหมาย ทำให้ตายก็
ไม่ไปไหนซักที
เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

อ่านต่อ »

รับสิทธิพิเศษมั๊ย?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

ลงทะเบียนตอนนี้ รับ E-Books ฟรี!!