บทเรียนชีวิต 12 ข้อ จากริชาร์ด แบรนสัน

[xyz-ips snippet="Podcast"]
พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์

เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน คือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในโลกก็ว่าได้ โดยเขาเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน และมักจะได้รับการกล่าวถึงเป็นอยู่เสมอ โดยเขาเป็นเจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท ภายใต้ชื่อการค้า Virgin นอกจากนี้รูปแบบการใช้ชีวิต ตลอดจนวิธีคิดของเขายังถือว่ามีความหวือหวาน่าสนใจ และน่าที่จะนำมาศึกษาว่าคนคนนี้มีทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตอย่างไร จึงทำให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ดังนั้น ในวันหนึ่งผมจะนำ บทเรียนชีวิต 12 ข้อ จากริชาร์ด แบรนสัน มาเล่าสู่กันฟัง แต่ก็ต้องขอออกตัวก่อนว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ ไม่ใช้บทสรุปของการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด แต่เราควรจะเรียนรู้มุมมองและวิธีคิดของเขา เพื่อเอาไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง จึงจะเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์มากที่สุด

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/2422280/

1. อย่ามัวแต่ฟังตัวเองพูด ไม่มีใครได้เรียนรู้โดยการฟังตัวเองพูดอยู่ฝ่ายเดียว

สำหรับในข้อแรกนี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องจริงมาก เพราะตัวผมเองได้เคยพบปะกับผู้คนมากมาย โดยบ่อยครั้งผมก็มักจะพบว่า นักธุรกิจระดับประเทศ หรือระดับโลก ซึ่งมีภูมิความรู้ระดับสูงนั้น เขามักจะมีบุคลิกเป็นคนที่ถ่อมตัว และมีความเป็นนักฟังที่ดี โดยคนเหล่านี้จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การฟังผู้อื่นก็ถือเป็นการเข้าถึงการเรียนรู้ในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ซึ่งจะแตกต่างจากบางคนที่ผมได้พบเจอ ที่แม้ว่าจะเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ถ้าขาดทักษะการฟัง คนประเภทนี้ก็จะมีความผิดพลาด หรือมีการตัดสินใจบางที่อย่างที่คลาดเคลื่อนไป เพราะเขาจะไม่ได้รับข้อมูลจากผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ตามมุมมองของริชาร์ด แบรนสัน เรื่องทักษะการฟังถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

2. ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ คือ (1) จ้างคนเก่ง (2) ให้เครื่องมือที่ถูกต้องเพื่อสร้างความสำเร็จ (3) ออกไปอยู่ห่างๆ ให้พวกเขาได้ทำงานกัน

ริชาร์ด แบรนสัน เชื่อว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น เราจะต้องมีทีมงานที่ดี นั้นก็คือการจ้างคนเก่งให้มาทำงานด้วย รวมถึงเมื่อจ้างมาทำงานแล้ว ก็ต้องให้เครื่องมือที่ดีเพื่อให้เขาเอาไปใช้ทำงาน และเมื่อเรามีคนเก่ง มีเครื่องมือที่ดีให้กับเขาแล้ว หลังจากนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำ คือออกไปห่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาได้ทำงาน

ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นความจริงอยู่มาก เพราะเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ คนเวลาจ้างให้คนเก่งมาทำงานแล้ว ก็ลืมมอบพื้นที่ให้กับเขาได้แสดงความสามารถ แต่พยายามที่จะควบคุมดูแล เพราะอาจจะคิดว่าไม่อยากจะให้เกิดข้อผิดพลาด แต่ในความเป็นจริงของการทำงานนั้น ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะตัวเราเองก็ใช่ว่าจะทำทุกอย่างโดยปราศจากความผิดพลาดไร้ที่ติ ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าได้จ้างเก่งเข้ามาทำงานแล้ว เราก็ต้องมั่นใจในความสามารถของเขา และถ้าหากจะมีความผิดพลาดบ้าง เราก็ต้องยอมรับ และสร้างการเรียนรุ้ร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดนั้นอีก

3. ฝึกคนให้ดีมากพอ เพื่อให้เขาลาออกได้ และดูแลพวกเขาให้ดีมากพอ จนเขาไม่อยากลาออกไป

ในข้อนี้ผมชอบมาก ๆ เพราะตรงกับทัศนะคติของผมเลย คือเวลาที่ผมจ้างใครทำงานด้วย ผมจะฝึกให้เขาเก่ง โดยถึงขั้นการันตีว่าถ้าอยู่กับผมครบ 3 ปี เขาจะมีทางเลือกได้ 2 ทาง คืออยู่กับผมต่อ ซึ่งตอนนั้นเงินเดือนของเขาจะต้องได้เป็น 2 เท่า ซึ่งผมกล้าให้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าถ้าเขาผ่านการฝึกฝนจากผมได้ เขาจะเก่งขึ้น และเมื่อเก่งขึ้น เงินเดือนก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา

ส่วนทางเลือกที่ 2 ถ้าเขาไม่อยากอยู่กับผม เขาอยากจะไปเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ผมการันตีได้เลยว่า เขาก็จะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม 5 เท่า ผมกล้าท้าทายด้วยสิ่งนี้ เพราะผมมั่นใจ ถ้าอยู่กับผม 3 ปี แล้วไม่ได้ตามที่ผมพูด ให้มาด่าผมได้เลย เนื่องจากสิ่งที่ผมจะสอนให้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก เป็นความรู้ที่ได้จากการทำงาน ที่จะทำให้เขาพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และฝึกให้เขากลายเป็นพนักงานมืออาชีพ หรือเป็นผู้บริหารมืออาชีพได้เลย

ดังนั้น เมื่อผมกล้าสอนให้เขาเก่ง ผมก็จะต้องดูแลเขาเป็นอย่างดี เพื่อให้เขาไปไปจากผม ซึ่งในข้อนี้ ผมมีทัศนคติต่อการสร้างทีมงาน เหมือนกับที่ ริชาร์ด แบรนสัน ว่าเอาไว้

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/7925859/

4. การเป็นคนกล้าบ้าบิ่นจะพาคุณไปได้ไกล และถ้าคุณเป็นคนชอบความเสี่ยง คุณก็ต้องมีศิลปะในการป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงนั้นสร้างความเสียหายมากเกินไป ความกล้าไม่อาจอยู่ยั้งยืนยง แต่ความขี้กลัวก็ไม่ได้ทำให้คุณได้ใช้ชีวิตเลย

พื้นฐานของ ริชาร์ด แบรนสัน เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และเขาชอบพูดบ่อย ๆ เกี่ยวกับความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับแนวคิดของคนทำธุรกิจสตาร์ทอัพหลายคน ที่พวกเขามีคติประจำใจว่า “จงกระโดดออกจากหน้าผา แล้วในขณะที่เรากำลังจะตกถึงพื้น เราต้องสร้างเครื่องบินขึ้นมาให้ได้…”

 ซึ่งประโยคข้างต้นนี้ ฟังดูแล้วมันก็เป็นอะไรที่สร้างแรงผลักดันภายในได้ดีพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็อย่างที่ ริชาร์ด แบรนสัน เขาว่าไว้คือ ความกล้าบ้าบินอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ แต่เราจะต้องมีศิลปะในการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นด้วย

5. มีความกล้าหาญ เพราะความกล้าหาญทำให้คุณยืนหยัดและกล้าพูด แต่ความกล้า ก็ให้หมายถึง การรู้จักนั่งลง แล้วฟังคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน

ถ้าสังเกตดูดี ๆ จาก 5 ข้อที่ผ่านมานี้ เราจะพบว่า ริชาร์ด แบรนสัน แม้ว่าจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง โดยเขาจะทำสิ่งต่าง ๆ จากแรงขับภายในเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังมีทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้และรับฟังผู้อื่นอยู่เสมอด้วย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความสมดุลของการทำธุรกิจก็ว่าได้ คือกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องกล้าที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย     

6. ผมไม่เคยจ้างนักบัญชีตอนเริ่มทำธุรกิจ เพราะมันถูกสร้างสัญชาตญาณล้วนๆ

สำหรับข้อนี้ผมก็ยอมรับตรง ๆ ว่า ผมเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ในสิ่งที่เขาพูดนะ เพราะนักธุรกิจ หรือผู้ที่ประสบความสำเร็จบางคนก็อาจจะมีแนวความคิดที่ว่า เราควรจะต้องมีการทำงบการเงินที่ถูกต้องมาตั้งแต่วันแรกของการจัดตั้งบริษัท เนื่องจากมันจะทำให้เราสามารถบริหารจัดการงบประมาณต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และมีกระบวนการที่ถูกต้องตามกลไกของภาษีต่าง ๆ

แต่สำหรับ ริชาร์ด แบรนสัน เขาอาจจะมองต่างออกไปว่า การดำเนินธุรกิจของเขานั้นมีแรงขับมาจากสัญชาตญาณภายใน ซึ่งไร้กรอบและขอบเขต แต่ทัศนคติของนักบัญชีนั้นจะมีแรงขับในการทำงานมาจากความคิดที่ตีกรอบเอาไว้แล้ว รวมถึงผมมองว่าในช่วงแรกของการทำธุรกิจ มันไม่ใช่ช่วงเวลาของการเก็บเงิน แต่มันเป็นช่วงเวลาของการหาเงิน ซึ่งเราจะต้องทำวงรอบของการขายให้ได้เร็วและสม่ำเสมอที่สุด ซึ่งถ้าหากจะจ้างคนมาทำงาน เราก็ควรจะจ้างนักขาย หรือนักการตลาดมาก่อน เพราะถือปัจจัยสำคัญในช่วงเวลานั้น

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/39369/

7. คุณไม่ได้เรียนรู้วิธีการเดินในสมัยเด็ก ๆ ด้วยการทำตามกฎกติกา แต่คุณเรียนรู้มันด้วยการการเดินจริง ๆ และเรียนรู้จากการล้มแล้วล้มอีก ดังนั้น สิ่งที่แน่นอนในการทำธุรกิจก็คือ คุณจะต้องผ่านความพลาดแน่นอน

ผมเชื่อว่าการทำธุรกิจนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรตายตัว ไม่มีคู่มือ หรือหลักสูตรใด ที่เมื่อเราได้เรียนไปแล้วเราจะสามารถลอกเลียนแบบแล้วเอามาทำได้เลยโดยไม่ต้องประยุกต์ เนื่องจากไม่มีธุรกิจของใครที่องค์ประกอบเหมือนกันในทุกบริบท

ดังนั้น เราจะต้องลงมือทำ เรียนรู้จากมัน รู้ว่าความผิดพลาดเป็นยังไง และอย่าทำผิดพลาดอีก เพียงเท่านี้เราก็จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับการเดิน ถ้าเราไม่เคยล้มมาก่อน เราจะไม่มีวันเดินเป็น

8. ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าทำตามแรงปรารถนาอันแรงกล้าของตัวคุณเอง ที่ทำแล้วดีต่อโลกใบนี้ เมื่อไหร่สิ่งที่คุณทำหมดสนุก คุณควรไปทำอย่างอื่น ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะไม่มีความสุข

ริชาร์ด แบรนสัน เป็นคนที่มีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก และชอบเล่นสนุก หรือทำอะไรท้ายทายเสมอ ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ ทำให้เขามีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่หลายร้อยธุรกิจ เพราะเขาสนุกที่จะทำมัน รวมถึงเขายังแสดงออกเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่มักจะมีเรื่องสนุก ตื่นเต้นอยู่เสมอ แม้ว่าปัจจุบันเขาจะอายุมากแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังทำอะไรสนุก ๆ เสมอ เช่น เขาสร้างเกาะเป็นของตัวเอง ซึ่งถือเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัว ที่เหล่านักธุรกิจทั่วโลกอยากจะมีโอกาสได้ไปเยือน เพื่อสนทนาพูดคุยกับ ริชาร์ด แบรนสัน รวมถึงยังได้ใช้ชีวิตให้สนุก ๆ ด้วยกัน

9. ความสนุกคือศูนย์กลางของการทำธุรกิจของผม ความสนุกคือความลับแห่งความสำเร็จของธุรกิจในกลุ่ม Virgin

จากมุมมองนี้ จะเห็นได้ว่า ริชาร์ด แบรนสัน เขาเอาความสนุกมาเป็นศูนย์กลายในการทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ ถ้าอะไรไม่สนุกเขาจะไม่ทำ ผมเองก็รู้สึกคล้าย ๆ แบบนั้น เนื่องจากเคยทำธุรกิจมาหลายรูปแบบ ธุรกิจของผมบางอย่างจืดมาก เรียกได้ว่าเป็นเหมือนหุ่นยนต์เลย คือเช้ามาทำอันนี้ สายมาทำอันนี้ บ่ายมาทำอันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกวางเป็นบล็อก ๆ ไว้หมดแล้ว เรียกได้ว่ามันจืดมาก และไม่มีความสนุกเลย (แต่บางคนอาจจะชอบ)

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/1111597/

10 ถ้ามีบางคนหยิบยื่นโอกาสให้คุณแต่คุณไม่รู้วิธีทำมัน ให้ตอบรับโอกาสนั้นไว้ก่อน แล้วค่อยไปหาวิธีทำมันทีหลัง

คำพูดนี้ถือเป็นประโยคเด็ดที่หลาย ๆ คนหยิบเอาไปยึดถือเป็นข้อปฏิบัติเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นความจริงมาก เนื่องจากโอกาสเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาบ่อย ๆ ถ้าเราไม่คว้าเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะหวนกลับคืนมาหรือเปล่า อย่างผมเองก็เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัลเทคโนโลยี เวลาไปขายงานให้ลูกค้า เราก็จะทำเป็นเอเจนซี่ ทำตัวเป็นครีเอทีฟ ซึ่งก็จะได้งานดิจิตอลแคมเปญมาเยอะมาก โดยเคล็ดลับอย่างหนึ่งของผมก็คือ เรื่องบางเรื่องเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำมันยังไง แต่เราต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ได้ก่อน ผมเชื่อว่าถ้ารับเงินมาแล้วเดียวเราจะหาทางทำมันจนได้เอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีวิธีการทำเสมอ

11. ผมมีความเชื่อเสมอว่าเวลามีปัญหาเรื่องเงิน ให้หาวิธีขยายกิจการ ไม่ใช่การย่อ หรือหดตัวลงของกิจการ

ก็ขอสารภาพตามตรงว่าข้อนี้ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แม้มันจะฟังดูแล้วสร้างแรงบันดาลใจได้ดี ในการที่จะทำให้เราพลิกธุรกิจให้ฟื้นคือกลับมา แต่ผมจะเชื่อในอีกแนวคิดหนึ่ง คือเวลาที่ธุรกิจของเรามีปัญหาด้านการเงิน แทนจะลดขนาดธุรกิจให้เล็กลง เราจะต้องกลับมาพิจารณาดูให้เห็นต้นตอของปัญหา

ซึ่งรากของปัญหาการเงินนั้น เกิดขึ้นจากพฤติกรรมในการใช้เงินที่ผิด ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด ดังนั้น วิธีการแก้ไปก็คือเราจะต้องย้อนกลับไปแก้ที่พฤติกรรมอันผิดพลาดนั้น ถ้าเราแก้ได้ ปัญหาเรื่องการเงินจะหมดไปเอง

12. ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รวยมากๆ แต่ความรวยก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และความรับผิดชอบของผมคือการลงทุนในการสร้างธุรกิจใหม่ สร้างงาน และวางเรื่องเงินไว้ข้าง ๆ เพื่อให้ผมได้มีเวลาแก้ปัญหาที่ทำให้โลกใบนี้แตกต่างและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

ผมเชื่อว่าความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เกิดขึ้นมาจากความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการทำธุรกิจ ยิ่งถ้าเรารวยมาก ความรับผิดชอบอันนั้นก็จะใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งที่ ริชาร์ด แบรนสัน ทำ คือการที่เขาสร้างธุรกิจใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับผิดชอบกับทุกอย่างที่เขาสร้าง โดยเขาบอกด้วยซ้ำไปว่าให้วางเงินไว้ข้าง ๆ ก่อน เพราะเงินอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เราจะต้องเห็นคุณค่าของธุรกิจที่เราทำเสียก่อน และมีความสุขที่จะทำมัน เมื่อรู้ว่ามันมีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น นี้คือความรับผิดชอบบนความร่ำรวย

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/4132936/

และทั้งหมดนี้ก็คือ บทเรียนชีวิต 12 ข้อ จากริชาร์ด แบรนสัน ซึ่งบางคนอาจจะเห็นด้วยทั้ง 12 ข้อเลย หรือบางคนอาจจะมีบางข้อที่ไม่เห็นด้วย อันนี้ก็ไม่ถึงว่าผิดหรือถูก แต่เป็นมุมมองในการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ที่เราไม่จำเป็นจะต้องคิดเหมือนกันก็ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากนำเสนอ คือการเปิดมุมมองให้เราได้เห็นวิธีคิดของนักธุรกิจระดับโลก ซึ่งถ้าใครจะหยิบจับเอาข้อคิดไหนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้ สิ่งนี้แหละคือจุดมุ่งหมายและคุณค่าที่แท้จริงของผม

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า ปีหน้าจะทำอย่างไร

ไร้สาระสิ้นดี!!! ทำงานก็มีผลลัพธ์
แล้วทำไมต้องประจบเจ้านาย บ้าไปแล้ว
ทำไมไม่ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินหละ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมคนที่เก่งคน
เก่งการนำเสนอ และเจ้านายรัก
ถึงมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น?

อ่านต่อ »

เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

ทำงานดีทั้งปี เจ้านายไม่เห็นผลงาน
เจ้านายไม่รู้ เจ้านายไม่เห็นความสำคัญ
เพราะไม่ตรงกับเป้าหมาย ทำให้ตายก็
ไม่ไปไหนซักที
เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

อ่านต่อ »

รับสิทธิพิเศษมั๊ย?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

ลงทะเบียนตอนนี้ รับ E-Books ฟรี!!