พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ความคิดสร้างสรรค์ถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการประกอบธุรกิจ เพราะการทำธุรกิจนั้นไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไปเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องใช้ความคิดในเชิงตรรกะเหตุผล การวิเคราะห์สถานการณ์ การคาดคะเนอนาคต ตลอดจนต้องใช้จินตนาการ หรือความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ ซึ่งในวันนี้ผมจะแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับแนวทางการสร้างสรรค์ไอเดีย หรือการฝึกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถอดแบบมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Benjamin Bloom นักจิตวิทยาการศึกษาที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก
โดยทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bloom หรือที่คนทั่วโลกเรียกว่า Bloom’s Taxonomy นั้น ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเมื่อปี 1956 เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กนักเรียน ในระดับประถม และมัธยม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หลักการเรียนรู้นี้ จะว่าไปแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนจะสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไม่จำกัด แม้แต่ในการทำธุรกิจ เราก็สามารถที่จะนำเอาทฤษฎีของ Bloom มาเป็นเครื่องมือฝึกสมองของเราให้มีทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์ได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เราสามารถทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแนวทางการฝึกฝน ดังนี้

1. Remember (จดจำได้)
การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีพื้นฐานมาจากการเรียนรู้ เพราะการที่เราจะเกิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ โดยไม่มีพื้นฐานความรู้มาก่อนเลยนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ดังนั้น ก่อนที่เราจะเป็นนักคิด นักสร้างสรรค์ เราจะต้องเป็นนักเรียนรู้เสียก่อน ซึ่งการเรียนรู้ที่ง่ายที่สุดก็คือการจดจำนั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราอ่านหนังสือ หรือไปเข้าคอร์สอบรมทางธุรกิจต่าง ๆ ก็ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ของการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ให้กับเราได้
โดยการจดจำได้ ก็คือการที่สมองของเรา เมื่อรับข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาแล้ว ก็สามารถจะเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้น มาเป็นชุดความรู้ที่อยู่ในหัว และสามารถแทนค่า แทนความหมาย สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

2. Comprehension (เข้าใจได้)
ในขั้นต่อมา เมื่อเราจดจำได้แล้ว สิ่งที่เหนือกว่าการจดจำ ก็คือการที่เราเข้าใจชุดข้อมูลนั้น เราจะต้องสามารถสรุปใจความสำคัญได้ เราจะต้องรู้ว่าอะไรคือแก่นขององค์ความรู้ และสามารถตีความชุดข้อมูลเข้าไปให้ถึงแก่นของความรู้ได้อย่างถูกต้อง
โดยเราจะสังเกตได้ว่า ถ้าเรื่องอะไรที่เราเข้าใจแล้ว เราจะสามารถจดจำได้นานยิ่งขึ้น เช่น สมัยก่อนผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง “Rich Dad Poor Dad” หรือ “พ่อรวยสอนลูก” ซึ่งพอผมอ่านจนเข้าใจแล้ว ผมก็ไม่เคยลืมเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อีกเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

3. Apply (นำไปใช้ได้)
เมื่อเราจดจำข้อมูลได้แล้ว เข้าใจแก่นสารสาระของข้อมูลแล้ว ในลำดับต่อมาก็คือความสามารถที่เราจะนำเอาความรู้นั้นไปใช้งานได้
การดึงเอาความรู้ไปใช้ได้กับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เวลาที่เราจะต้องนำเสนองานให้กับลูกค้า เวลาที่เราจะต้องสื่อสารกับคนอื่น หรือเวลาที่เราเจอสถานการณ์บางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ที่เรามี เราก็สามารถที่จะดึงเอาองค์ความรู้ที่มีอยู่ในหัวมาประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ อันนี้คือทักษะของการนำไปใช้
เหมือนกับสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ ก็คือการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งหลายคนก็มาถามผมว่า ทำไมผมถึงรู้ว่าธุรกิจแต่ละชนิดต้องมีแผนกลยุทธ์ยังไง บางคนถึงกับบอกว่า…เหมือนผมเคยทำมาแล้วทุกอย่าง ซึ่งในความจริงแล้ว ก็ต้องบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเคยทำธุรกิจทุก ๆ อย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด เพียงแต่ว่า…ผมตัวผมเอง ได้ผ่านขั้นตอนของการเรียนรู้จนสามารถที่จะเข้าใจแก่นสารของการทำธุรกิจว่ามันมีรูปแบบอย่างไร ซึ่งแกนสารตัวนี้เป็นความจริง เป็นสัจธรรม ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของธุรกิจ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้แตกต่างกัน ดังนั้น เมื่อผมเข้าใจแก่นแท้ของมัน ผมก็สามารถให้คำแนะนำได้กับทุก ๆ ธุรกิจ นั้นเอง

4. Analysis (วิเคราะห์ได้)
สำหรับการคิดแบบวิเคราะห์ คือการที่เราสามารถเอาความรู้ที่มีมาแยกแยะส่วนประกอบออกจากกันได้ และยังรวมไปถึงการสังเคราะห์ หรือการเอาส่วนประกอบจากข้อมูลหลาย ๆ เรื่อง มาประกอบหลอมรวมขึ้นมาเป็นข้อมูลชุดใหม่ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งข้อนี้มีสำคัญมาก
สมมุติว่า ถ้าเราเป็นมีลูกค้าที่ต้องการจะตกแต่งบ้านใหม่ และตัวเราเองมีองค์ความรู้ที่หลากหลาย เราก็จะสามารถเข้าใจ และนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้าได้ดีกว่าคนที่มีความรู้แคบ ๆ เพราะการที่เรารู้กว้าง เราจะรู้ว่าควรจะหยิบจับเรื่องอะไรมานำเสนอให้กับลูกค้า เช่น เรื่องวิศวกรรม เรื่องสถาปัตยกรรม เรื่องฮวงจุ้ย เป็นต้น

5. Evaluation (ประเมินค่าได้)
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเรามีความรู้มากเข้า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…เราจะต้องรู้จักการประเมินค่า ว่าในสถานการณ์นี้ ความรู้อะไรที่เอามาใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ เราจะรู้ว่าอะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ
เพราะเมื่อเราพัฒนาตัวเองมาถึงขั้นนี้ได้ เราจะมีชุดความรู้และข้อมูลอยู่ในหัวมากมาย ถ้าหากเราหยิบจับมาใช้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ถูกเวลา ความรู้ต่าง ๆ ที่มีก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย

6. Creating (คิดสร้างสรรค์ได้)
ข้อนี้ถือเป็นสิ่งสูงสุดของทฤษฎีนี้เลยก็ว่าได้ นั้นก็คือการที่เรามีความรู้ ความเข้าใจ ผ่านการนำไปใช้งานจริง คิดวิเคราะห์แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ และรู้จักหยิบสิ่งที่เหมาะสมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งในลำดับสุดท้าย เราจะต้องคิดสร้างสรรค์ได้ นั้นก็คือการสร้างสิ่งใหม่ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน โดยจะเป็นการสร้างสรรค์ในแบบเฉพาะตัว ไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากใคร
เปรียบเทียบ ก็เหมือนกับหนังจีน ที่พระเอกฝึกฝนวรยุทธ์ต่าง ๆ จากอาจารย์มาอย่างยาวนาน เคยผ่านการต่อสู้จริง มีทั้งความรู้ ทั้งประสบการณ์ จนเกิดเป็นความชำนาญ และสุดท้ายก็จะสามารถสร้างกระบวนท่าใหม่ของตัวเองขึ้นมาได้ในที่สุด ซึ่งการฝึกความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ต้องอาศัยการเรียนรู้ การนำไปใช้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนเกิดความชำนาญ และในวันหนึ่ง ก็จะเกิดทักษะที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ขึ้น
และทั้งหมดนี้ก็คือ ฝึกการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ด้วยเทคนิคของ Benjamin Bloom ซึ่งถือเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ในการที่เราจะฝึกฝนพัฒนาตัวเอง นำไปใช้ในเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเกิดประสิทธิภาพ ตลอดไปจนถึง ในท้ายที่สุดก็ทำให้เราเป็นนักคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญ และเป็นข้อได้เปรียบสำหรับคนทำธุรกิจ
ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้ใครที่คิดว่าตัวเอง ไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ก็ให้ลงมือฝึกฝนตามแนวทางนี้ได้เลย