พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ทัศนคติแห่งชัยชนะ ไม่ใช่การที่มุ่งจะเอาชนะคะคานผู้อื่นไปทั่ว แต่ในโลกตะวันตก สิ่งนี้เหล่านี้หมายถึงวัฒนธรรมขององค์กรที่มีรูปแบบซ้ำ ๆ และยอมรับโดยทั่วกันในเรื่องของการแข่งขันเพื่อที่จะทำให้ทีมชนะ และทุกคนจะต้องมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ ในจังหวะที่ต้องแข่งขันก็แข่งกันอย่างเต็มที แต่พอแข็งขันเสร็จก็จับมือเป็นเพื่อนกันได้
การที่บริษัทของเรามีทัศนคติแห่งชัยชนะ สิ่งนี้จะทำให้องค์กรมีความแข่งแกร่ง และเติบโตได้อย่างมั่นคง ด้วยทีมงานที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่ง มีการยกระดับมาตรฐานการทำงานอยู่เสมอ
ซึ่งการสร้างทีมให้มีทัศนคติแห่งชัยชนะนั้น มีดังนี้
1. กำหนดกติกาอย่างชัดเจน
วัฒนธรรมในองค์กร เปรียบเสมือนเม็ดเลือดขาว มันจะคอยกำจัดสิ่งที่ไม่เข้าพวกออกไป…
ดังนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือการสร้างวัฒนธรรมแห่งชัยชนะให้เกิดขึ้น โดยในขั้นตอนแรกเราจะต้องแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียนข้อกำหนดในลักษณะที่ว่า “องค์กรแห่งนี้ชื่นชมยกย่องคนที่มีทัศนคติชื่นชอบการแข่งขัน และดื่มด่ำในชัยชนะ ซึ่งคนเหล่านี้จะได้รับการเชิดชูสนับสนุน”
การที่เรามีข้อกำหนดอย่างชัดเจน และสร้างมันขึ้นมาให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กร มันจะเป็นการคัดคนที่ไม่ใช้ออกไป รวมถึงเก็บรักษาคนที่ใช้ให้คงอยู่ต่อไป
2. มุ่งเน้นที่ผลงาน
ซึ่งจุดตายของหลาย ๆ บริษัท คือการที่ไม่ทำให้เป้าหมาย หรือผลงานที่คาดหวังเอาไว้มีความศักดิ์สิทธิ์ ทำได้ไม่ถึงเป้าก็ไม่เป็นไร ถัว ๆ กันไป ซึ่งองค์กรที่มีลักษณะค่อนข้างประนีประนอมจะต้องระวัง ว่าความประนีประนอมนั้นมันอยู่ในระดับที่พอดิบพอดีหรือเปล่า
การประนีประนอม ความสมัครสมานรักใคร่กลมเกลียวในบริษัทก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีทัศนคติที่ต้องการจะเป็นผู้ชนะด้วย
การมุ่งเน้นที่ผลงาน จะทำให้เรากระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น รวมถึง เราจะรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายสูงสุด และไม่เสียเวลา หรือเสียพลังงานไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกัน เช่น ความขัดแย้งในองค์กร ไม่ชอบหน้ากัน นินทาว่าร้ายกัน ถ้าองค์กรไหนที่สร้างวัฒนธรรมแห่งชัยชนะขึ้นมาได้ ปัญหาหยุมหยิมของพนักงานแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะว่าทุกคนจะทำเทพลังงานทั้งหมด เพื่อค้นหาหนทางว่าจะทำอย่างไรผลงานจึงจะเป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้
3. มองออกไปยังโลกภายนอก
การที่เราจะชนะการแข่งขันได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำศึกสงครามในสมัยก่อน ที่เราจะต้องมีทีมสอดแนมที่ออกไปดูลาดเลา ว่าสถานที่ในการต่อสู้กันมีลักษณะเป็นอย่างไร สิ่งแวดล้อมมีลักษณะอย่างไร ช่องทางหนีมีกี่ทาง ทางหลักมีกี่ทาง คู่ต่อสู้มีจำนวนเท่าไหร่ อาวุธขนมามากน้อยแค่ไหน เป็นต้น
ซึ่งการทำธุรกิจก็ไม่ได้แตกต่างกัน คือจะต้องมีการมองออกไปภายนอกด้วย ไม่ใช่ทำธุรกิจในลักษณะที่มองเห็นแต่ตัวเอง รู้จักแต่ตัวเอง มีเป้าหมาย มีแรงบันดาลใจในการก่อตั้งธุรกิจ แต่ทว่าไม่เคยรู้จักลูกค้า ไม่รู้จักคู่แข่ง ก็เป็นไปได้ยากที่จะเอาชนะได้
ดังนั้น ผู้ชนะจะต้องจับตามองโลกภายนอกอยู่เสมอ บางสิ่งบางอย่างที่เรากำลังจะทำ ถ้ามันไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก เราก็จำเป็นที่จะต้องปรับ เพราะเราไม่ได้คาดวังที่ตัวกระบวนการ แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือผลลัพธ์
4. มีผู้นำที่กระหายชัยชนะ
ถ้าอยากสร้างวัฒนธรรมที่มีทัศนคติแห่งผู้ชนะ บางครั้งแค่เจ้าของบริษัทอยากจะทำคนเดียว มันอาจจะไม่ไหว ดังนั้น จะต้องมีหัวหน้าทีมในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็นหัวหอกในองค์กร ที่จะนำพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา มุ่งไปคว้าเอาชัยชนะที่เขาหิวกระหาย
ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของบริษัทควรจะมี คือการมีหัวหน้างานในระดับต่าง ๆ ที่มีทัศนคติเดียวกันกับเรา เพราะว่าโดยปกติพนักงานจะใช้เวลามีกับทีมของตัวเองมากกว่าการใช้เวลาร่วมกับเจ้าของบริษัท
ถ้าหัวหน้าทีมกระหายชัยชนะ ลูกน้องก็จะกระหายชัยชนะ…
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก ๆ ที่เราจะเข้าใจว่าคนที่เป็นผู้ชนะ คือคนที่มาก่อน หรือเข้าเส้นชัยก่อนคนอื่น ดังนั้น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ คนที่มีทัศนคติแห่งผู้ชนะ จะไม่ใช่คนที่ทำงานไปวัน ๆ โดยไม่มีแผนการใหม่ ๆ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
หลาย ๆ คนไม่เคยคิดถึงแผนการเพื่ออนาคต แถมบอกว่าตัวเองทำงานแบบอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งคำว่า “อยู่กับปัจจุบัน” นั้นเป็นคำที่ดี แต่ถ้าเอามาวางไว้ในบริบทที่ไม่ถูกต้อง มันก็ทำให้สื่อความหมายคลาดเคลื่อนไป
เพราะการอยู่กับปัจจุบันไม่ใช้การอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่การอยู่กับปัจจุบันคือการที่เรารู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และควรที่จะทำอะไร ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งการอยู่กับปัจจุบัน ต้องอยู่แบบมี “สติ” คือการรู้ตัวว่าปัจจุบันเรากำลังทำอะไร และควรจะทำอะไร
ดังนั้น ทัศนคติแห่งผู้ชนะ จะต้องเป็นผู้มาก่อน คิดก่อน ทำก่อน โดยไม่ปล่อยให้ปัจจุบันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
6. มีทรัพยากรไม่จำกัด
ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณสามารถใช้ทรัพยากรที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ เมื่อนั้นคุณจะประสบความสำเร็จ เพราะว่าคนทั่วไปเวลาจะทำธุรกิจ เขามักจะมองในสิ่งที่ตัวเองมี เช่น ถ้ามีเงินก็ทำธุรกิจได้ แต่ถ้าไม่มีเงินก็ทำธุรกิจไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นความจริงในการรับรู้ของคนทั่ว ๆ ไป แต่เรื่องเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องจริงในมุมมองของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพราะมีนักธุรกิจจำนวนมากที่เริ่มต้นทำธุรกิจ โดยใช้เงินของคนอื่น
ดังนั้น การที่เราจะทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ หรือได้รับชัยชนะได้ เราจะต้องเป็นคนที่มีมุมมองอันไร้ขีดจำกัดในด้านทรัพยากร ถ้าหากอะไรที่เราไม่มี แต่เราจำเป็นต้องใช้ เราก็ควรจะมองหาว่าสิ่งที่เราต้องการจะใช้อยู่ที่ไหน และเราจะสามารถนำเอามาใช้ได้อย่างไรโดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ
ถ้าคุณอยากที่จะยืนอยู่ในจุดของผู้ชนะได้ในทุก ๆ โอกาส เราก็ต้องมองว่า จะสามารถใช้ทรัพยากรที่ไม่ได้เป็นเจ้าของได้อย่างไร จงมองหาสิ่งที่คุณต้องการ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของคุณ เพราะถ้าคุณมองหา คุณจะมองเห็น และโลกนี้มีทรัพยากรอยู่เต็มไปหมด
7. โฟกัสความก้าวหน้า
สิ่งที่ผมมักจะเน้นย้ำเสมอ ๆ ก็คือ ให้โฟกัสในความก้าวหน้า อย่าโฟกัสในความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง ถ้าเรามัวแต่โฟกัสในความสมบูรณ์แบบ เราจะไม่มีวันไปถึง เพราะสุดท้ายแล้ว วันนี้เราอาจจะทำในสิ่งที่สมบูรณ์แบบได้ แต่ในวันพรุ่งนี้ก็อาจจะมีสิ่งที่สมบูรณ์แบบมากกว่าเกิดขึ้นมาก็ได้
ดังนั้น สิ่งที่เราโฟกัสไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่คือความก้าวหน้า สิ่งที่เราทำวันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน สิ่งที่เราจะทำในวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ แม้จะดีกว่าเดิมแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือเป็นความก้าวหน้าแล้ว และถ้าเราไม่หยุดเดิน จะเดินช้าเดินเร็ว วันหนึ่งเราจะถึงเส้นชัย และกลายเป็นผู้ชนะ
8. กระตุ้นตัวเองได้
คนที่กระตุ้นตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วยเหลือ ถือว่าได้เปรียบมาก เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงานของเขาจะไม่ลดต่ำลง หรือถึงแม้ลดต่ำลง เขาก็สามารถที่จะกระตุ้นตัวเองให้กลับมาอยู่ในมาตรฐานเดิมได้ ซึ่งใครก็ตามที่มีความสามารถนี้ มักจะเป็นคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทีม เพราะในภาวะไม่ปกติ คนที่สามารถดึกตัวเองกลับมาให้เข้ารูปเข้ารอยได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่น ถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญมาก และถ้าเขาดึงตัวเองกลับมาได้ เขาก็จะสามารถดึงคนอื่นกลับมาได้ด้วย
ในฐานะถ้าเป็นหัวหน้าทีม เราก็ต้องดูว่าถ้าผู้ได้บังคับบัญชาของเราไม่ใช่คนที่กระตุ้นตัวเองได้ เราจะต้องสังเกตทีมงาน อยู่เสมอ ๆ ว่าเขากำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างหรือเปล่า และจะต้องดึงเข้ากลับมาอยู่ในร่องในรอยให้ได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมสามารถกระตุ้นตัวเองได้ ประสิทธิภาพในการทำงานของทีมก็จะไม่ลดลง
9. เตรียมตัว
ความโชคดีจะเกิดจาก โอกาส + ความสามารถ ซึ่งการที่ใครสักคนจะมีความสามารถขึ้นมาได้ ก็จะมาจากการเตรียมตัวที่ดี มีการฝึกฝนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
ถ้าวันนี้เราไม่ได้ทำตัวให้มีความพร้อมอยู่เสมอ ในบางจังหวะที่โอกาสผ่านเข้ามา เราก็ไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้ เพราะเราไม่ได้เตรียมตัว และเราจะต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่าโอกาสมันจะมาหาเราเมื่อไหร่
10 ยืดหยุ่นปรับตัว
เพราะสิ่งที่เคยใช้ได้ในอดีต มันอาจจะเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วในปัจจุบัน ดังนั้น วันนี้เราจะต้องปรับตัวให้เท่าทันเสมอ ยิ่งโลกหมุนเร็วเท่าไหร่ เราก็จะต้องปรับตัวให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงด้วย เพราะคนที่จะยืนอยู่ในจุดของผู้ชนะได้ ก็มาจากผู้ที่อยู่รอด ซึ่งคนที่จะอยู่รอดได้ ก็เพราะด้วยการความยืดหยุ่น ปรับตัว นั้นเอง
และทั้งหมดนี้ก็คือ สร้างทีมอย่างไรให้มีทัศนคติแห่งผู้ชนะ ซึ่งถือเป็นเทคนิคดี ๆ ที่ผมเชื่อว่า ถ้าใครนำเอาไปปฏิบัติ ในการสร้างทีมงาน ในการพัฒนาบุคลากรในองค์ สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต และดื่มด่ำกับความหมายของคำว่า “ชัยชนะ” ได้อย่างแน่นอน