พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน ทำให้รูปแบบในการกระจายข้อมูล กระจายความรู้แตกต่างไปจากเดิม ในสมัยอดีตเราอาจจะฟัง อาจจะดู และรับรู้ข้อมูลข่าวสารสาระจากโทรทัศน์ วิทยุ แต่ในปัจจุบันเรามีช่องทางในการสื่อสารแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากมาย และผู้ที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้คนไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้เฉพาะบุคคลในอาชีพสื่อสารมวลชนอีกต่อไปแล้ว เพราะวันนี้ทุกคนสามารถที่จะลุกขึ้นมาพูด มาถ่ายถอดข้อมูลความรู้ และกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจได้
แต่การที่จะมาเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อความคิดของผู้อื่น หรือที่เรียกว่า Influencer นั้น ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะการที่เรากลายเป็นผู้ทรงอิทธิพล เราจะมีผู้ติดตามที่เราสามารถพาพวกเขาไปทำในสิ่งต่าง ๆ ได้ และเราสามารถที่จะโน้มน้าวรวมจิตใจผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ แล้วก็ร่วมแรงร่วมใจกันได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ ซึ่งผมจะมาอธิบายให้ฟัง
1. แสดงความเป็นตัวของตัวเองในด้านที่ดี (Genuine)
บางคนแสดงอิทธิพลในมุมที่ไม่ดี ก็จะไม่ได้รับการยอมรับของสังคม แล้วก็ไม่มีใครอยากจะติดตาม ซึ่งเราจะต้องมีความเป็นเนื้อแท้ คือถ้าคุณเป็นแบบไหนให้ทำแบบนั้น อย่าประดิดประดอยสร้างภาพ เพราะถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง คนก็จะสัมผัสถึงตัวตนของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นดารา ศิลปิน คนดังต่าง ๆ ถ้าเราเข้าไปสัมผัสหรือพูดคุยสักพัก เราจะรู้เลยว่าใครมีความเป็นตัวของตัวเอง ใครมีลักษณะของการพยายามปั้นตัวเองให้เป็นแบบใดแบบหนึ่ง
ดังนั้น เราต้องมีความจริงใจ ไม่มีการสร้างภาพ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะถ้าเราใช้ความจริงใจ มันจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ใจเชื่อมใจ” คนที่เขามาสัมผัสกับสิ่งที่เรานำเสนอเขาก็จะรู้สึกได้ และเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางใจที่ดีต่อเรา
2. พูดสุภาพ (Speak politely)
เราจะต้องมีการสื่อสารที่พอดิบพอดี ระหว่างความสุภาพและความหยาบโลน เพราะปัจจุบันเราจะเห็นคนดังที่ได้รับความสนใจในแวดวงโซเชียวมีเดียต่าง ๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เวลาพูดก็เอาความสนุก หรือเอาความมันส์ในอารมณ์เข้าว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ผมคิดว่าเราควรที่จะพูดให้สุภาพดีกว่า เพราะพอเราเป็น Influencer คนจะมาติดตามเราเป็นจำนวนมาก ทุกคำพูด ทุกการกระทำของเราจะกลายเป็นการสั่งสอนสังคมอย่างที่เราจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม แต่มันจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้อย่างแน่นอน ดังนั้น เราจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เรียกว่าเราต้องวางตัวให้ถูกที่ ถูกเวลานั้นเอง
3. ยิ้มสดใส (Smile)
การที่เรามีรอยยิ้มอันสดใส ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เราเกิดอิทธิพลต่อคนรอบข้างได้เหมือนกัน เพราะการที่เรามีรอยย้อมให้กับผู้อื่น ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร รู้สึกดี ๆ ต่อกัน แม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การที่เรามีรอยยิ่ง ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดพื้นที่ส่วนตัวและนำไปสู่การทำความรู้จักกันได้ง่าย ๆ อย่างผมเองจะเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับคนอื่นเสมอ บางที่เป็นแม่ค้าขายของ เป็นพนักงานส่งอาหาร สิ่งเหล่านี้แม้จะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ผมก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างอธิพลต่อความรู้สึกให้กับผู้คนได้เหมือนกัน และคนก็จะรู้สึกดี รู้สึกมีชีวิตชีวาเมื่อมาเจอเรา
4. ช่วยเหลือ (Helpful)
เราต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ เวลาที่เห็นใครเดือดร้อน เราจะไม่นิ่งดูดาย โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่มีคนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากโควิด ก็มีคนหลาย ๆ คนที่ลงมาช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนที่กำลังประสบปัญหายากลำบาก และบุคคลเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นคนที่มีอธิพลต่อผู้อื่นไปโดยปริยาย เพราะเมื่อลงมาช่วยเหลือแล้ว คนอื่นก็อยากจะร่วมด้วย ก็มีการสนับสนุนในสิ่งที่แต่ละคนจะทำได้ เรียกได้ว่าหลาย ๆ คนหรือหลาย ๆ กลุ่มที่ลงมาช่วยเหลือสังคมในเวลานี้ ได้กลายเป็นคนที่สังคมยอมรับอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเป็นคนดี ช่วยเหลือสังคม
5. แสดงความสนใจในตัวผู้อื่น (Acknowledge others)
ทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะเป็นคนสำคัญ ไม่ว่าจะพูดออกมาหรือไม่ อย่างจะเป็นคนสำคัญของครอบครัว ของพ่อแม่ ของเพื่อน ดังนั้น การที่เราจะสร้างอธิพลเราจะต้องทำให้คนอื่นรู้สึกมีคุณค่า เราจะต้องปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีตัวตน ก็จะทำให้คนเหล่านั้นจะเปิดใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราชื่นชมและยอมรับในตัวตนของคนอื่น เราจะเห็นศิลปินหลาย ๆ คน เช่น พี่โน้ต อุดม หรือพี่เบิร์ด ธงชัย ที่จะให้ความสนใจกับแฟนคลับเป็นอย่างดี เวลาทำการแสดงก็จะมีการให้ความสนใจกับคนที่อยู่แถวหลัง ๆ ที่ซื้อตั๋วมาในราคาถูก แต่พี่โน้ต หรือพี่เบิร์ด ก็จะให้ความสำคัญ มีการทักทาย มีการแซว ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับในความมีอยู่ของคนเหล่านั้น และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้พี่โน้ต หรือพี่เบิร์ดกลายเป็นที่รัก กลายเป็นผู้มีอิทธิพลของแฟนคลับจำนวนมาก
6. ให้ความเคารพผู้อื่น (Treat people with respect)
ควรจะปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่อายุน้อยกว่าเรา การศึกษาน้อยกว่าเรา รวยจนไม่สำคัญ หรือว่าอาชีพบางอาชีพที่คนอื่นมองว่าต่ำต้อย แต่เราจะต้องไม่มีความรู้สึกแบบนั้น เพราะเราจะต้องเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
เวลาที่เราเคารพคนอื่นนั้น ในวิถีทางตรงกันข้าม ผู้อื่นก็จะปฏิบัติเช่นนั้นกับเราเหมือนกัน และถือเป็นการฝึกฝนบารมีตัวเองไปด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว เราจะต้องไปถึงในจุดที่เรียกได้ว่า เป็นการปฏิบัติดีกับผู้อื่นโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องให้ใครมาปฏิบัติดีกับเรา ถึงวันนั้นเราจะกลายเป็นคนดีโดยเนื้อแท้
7. เชื่อมั่นในตัวเอง (Believe in yourself)
การที่เราจะมีอธิพลต่อผู้อื่นได้ เราจะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ในเรื่องที่เราทำได้ดี เพราะความมั่นใจเป็นบ่อเกิดของทุก ๆ อย่างเลย และเราต้องแสดงความมั่นใจอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อเราทำไปเรื่อย ๆ เราก็จะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจอย่างแท้จริง
อย่างบางครั้ง คนเราก็ไม่ได้ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ในบางเวลาถ้าเราไม่มั่นใจในสิ่งที่คนอื่นถาม มันก็ยังมีวิธีพูดที่ทำให้คนอื่นรู้สึกประทับใจ และยังมั่นใจในตัวเรา โดยการที่เราตอบไปว่า “ตอนนี้ผมยังไม่รู้ แต่ผมมีความมั่นใจว่าผมจะหาคำตอบนี้ได้ เอาไว้เจอกันครั้งหน้า เดี๋ยวผมจะบอกว่าคำตอบคืออะไร” นี้คือการตอบด้วยความมั่นใจ แม้ว่าเราจะไม่รู้ก็ตาม
ดังนั้น การที่คนจะติดตาม จะฟังเรา และมีอิทธิพลต่อผู้อื่น เราจะขาดเรื่องความมั่นใจไปได้เลย เพราะถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วใครล่ะจะมามั่นใจในตัวเรา
8. มีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ (Network)
การที่คนอื่นจะมองเราอย่างไร เขาจะดูพรรคพวก ดูเพื่อนของเราเหมือนกัน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนแบบเดียวกัน ก็จะมาคบหาสมาคมกัน ถ้าเราไปคบคนแบบไหน คนก็จะมองว่าเราเป็นคนแบบนั้นด้วย ถ้าเรามีเพื่อนฝูงที่เป็นคนขยัน ทำมาหากิน มีฐานะการงานมั่นคง คนก็จะมองว่าเราเป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้น การที่เราจะมีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือได้ เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้คู่ควรที่ได้เข้าถึงกลุ่มคนในระดับที่เราอยากจะไปคบหาด้วย ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองเลย แต่อยากจะไปคบหากับคนเก่ง ๆ เราก็จะไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแวดวงนั้นได้ เพราะความสามารถอยู่กันคนละระดับ
9. รับผิดชอบ (Taking responsibility)
การรับผิดชอบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการที่เรารับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ส่วนตัวของเรา แต่ผมหมายถึงการที่เรายืนมือออกไปข้างหน้าและรับผิดชอบต่อส่วนร่วม เช่น เรากล้าที่จะรับเป็นหัวหน้าห้อง หรือเวลาที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ถ้าเรารับอาสาเป็นคนจัดการทริป เราก็จะได้รับการยอมรับและกลายเป็นหัวหน้าทัวร์ในที่สุด และเราจะกลายเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราฝึกฝนได้ และเป็นการสะสมทีละเล็กทีละน้อย จนมันกลายเป็นตัวตนของเราในที่สุด เราจะกลายเป็นคนที่มีจิตอาสา ทำงานเพื่อส่วนร่วม เราก็จะกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้
และทั้งหมดนี้ก็คือ สร้างอิทธิพลยังไงให้คนอยากติดตาม และผมก็หวังว่าทุกคนที่ได้ศึกษาเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ที่ผมได้นำเสนอไปนี้ ได้นำเอาแนวทางต่าง ๆ ไปปฏิบัติ ค่อย ๆ ฝึกฝน จนในที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง กลายเป็นผู้นำ และสามารถนำพาผู้อื่นไปสู่สิ่งที่ดีได้