พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
สิ่งที่นักการตลาดทุกต้องการคือการมีงบการตลาดเยอะ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ เช่น การยิ่งโฆษณา การออกสื่อต่าง ๆ เพื่อให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จัก แต่ในความเป็นจริงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งของตัวผมเองและของคนที่รู้จัก ทุกคนจะพูดตรงกันหมดเลยว่า “งบการตลาดมีไม่เคยพอ…” เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเกิดว่างบการตลาดมีไม่เคยพอ
แม้กระทั่งบริษัทที่มีงบการตลาดเป็นร้อย ๆ ก็ตาม ทุกคนก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะพออยู่ดี ซึ่งจริง ๆ แล้วเนื้อแท้ของการทำการตลาดอาจจะไม่ได้อยู่ที่งบประมาณก็ได้ แต่เราควรจะหาวิธีที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ ใช้เงินน้อย หรือไม่ใช้เงิน เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
“วิธีการทำธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน
แต่อยู่กับรอยหยักในสมองของเรา”
เมื่อทุกคนอยากได้ลูกค้าใหม่ แม้ว่าจะมีงบประมาณจำกัด วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธี หาลูกค้าใหม่แบบไหนโดยใช้งบน้อย ๆ ซึ่งเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะสามารถนำเอาไปใช้ในการทำงานของเราได้เลยในทันที
1. ถามหาการ Referral จากลูกค้า
ในกรณีนี้บางคนอาจจะไม่เคยขอ หรือไม่การถาม ซึ่งจริง ๆ แล้วทำไม่อยาก ก็คือถ้าลูกค้าได้ผลลัพธ์ มีความพึงพอใจอย่างมากในตัวสินค้า เขาก็จะมีการบอกต่อแบบอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ถ้าลูกค้าไม่ได้พึงพอใจมากนักเขาก็จะไม่มีการบอกต่อ เพราะมันไม่มีความรู้สึกร่วมที่ออกมาจากภายใน ดังนั้น ถ้าหากเราอยากให้ลูกค้าบอกต่อ เราจะต้องสร้างผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างสุด ๆ เท่านั้น รวมถึง ถ้าหากเราอยากจะขอ Referral เราควรจะมีการเจาะจงกลุ่มลูกค้าของเราด้วยว่าเป็นใคร
การขอ Referral ที่ดีที่สุด
อย่าทำเพราะจำได้…แต่ให้ทำเพราะเราสร้างกระบวนการเอาไว้
ซึ่งกระบวนการที่ว่านี้ มีหลายบริษัทมากที่ได้สร้างกระบวนการเอาไว้อย่างเป็นรูปแบบเลยทีเดียว อย่างบริษัทหนึ่งมาดูไรฝุ่นที่บ้านของผม เนื่องจากเพื่อนผมแนะนำมาให้ โดยมาบริการแบบไม่ต้องจ่ายเงินเลย พอเขามาดูดฝุ่นที่โซฟาให้เป็นตัวอย่าง ผมก็รู้สึกเลยว่ามีสิ่งสกปรกซ่อนอยู่เยอะมาก เพราะเครื่องมือของเขามันทำความสะอาดได้ดีมาก เมื่อผมประทับใจมาก ผมก็เลยซื้อแพ็กเกจของเขาเลย ให้เขาไปดูดไรฝุ่นในห้องนอนให้ด้วย
พอเขาให้บริการเสร็จเขาก็ถามว่าเราประทับใจในการให้บริการหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าประทับใจมาก ๆ เพราะมันทำความสะอาดได้ดีมาก ๆ เขาก็บอกว่าถ้าประทับใจขนาดนี้ เขาจะให้สิทธิ์ในการที่เราแนะนำเพื่อนให้เขา 2 คน เพื่อที่เขาจะไปให้บริการดูดฝุ่นฟรีให้กับเพื่อนของเราด้วย ผมก็แนะนำเพื่อนให้เขาไป 2 คน
นี้คือตัวอย่างของการ Referral ที่มีการออกแบบกระบวนการมาแล้ว ซึ่งถือเป็นระบบหาลูกค้าใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ก็อย่าลืมว่าการของ Referral นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อลูกค้ามีความสุข มีความพึงพอใจ ในผลลัพธ์ที่เราให้กับลูกค้าแล้วเท่านั้น
2. ออกไปสร้างเครือข่าย
บางคนก็ไปตามสมาคม อย่างผมเองก็เคยไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ แอสโซซิเอชั่น ออฟไทยแลนด์ ซึ่งเป็นสมาคมโรงแรมร้านอาหารที่มีพวกฝรั่ง และผู้บริหารในระดับต่าง ๆ เข้าไปเป็นสมาชิก รวมถึงยังมีการจัดปาร์ตี้อย่างสม่ำเสมอด้วย
คนที่เป็นพนักงานจากโรงแรมเขาก็จะชอบมางานนี้กัน เพราะได้กินฟรีมีเกียรติ ส่วนคนที่อยากจะขายของเข้าโรงแรมเขาก็อยากจะมางานนี้เช่นกัน เพราะอยากจะทำความรู้จักกับคนที่สามารถตัดสินใจซื้อของเข้าโรงแรมได้ ผมเองก็ไปงานนี้เป็นประจำ และให้การสนับสนุนเครื่องดื่มให้กับงานนี้ด้วย เพราะทำให้เข้าถึงโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ
การสร้างเครือข่ายไม่ใช่การไปไล่แจกนามบัตร
มันไม่ใช่การไล่ล่า แต่เป็นการขอความช่วยเหลือ
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าวันนี้คุณคุยกันในงานสร้างเครือข่าย มันแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนก็ต้องการจะขายของ แต่ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองใหม่ คุยไปแล้วก็ตามว่า “ไม่แน่ใจว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร มีแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจนี้ได้อย่างไร แล้วลูกค้าที่ต้องการมีรายได้แบบไหน” แล้วเราก็บอกเขาว่า “ผมคิดว่าผมมีคนที่ควรแนะนำให้คุณรู้จัก และถ้าผมมี ผมจะติดต่อคุณได้อย่างไรครับ”
ซึ่งการที่เราไปในทัศนคติที่ไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทุกคนก็จะจำเราได้ และเขาจะให้นามบัตรเรามา จากนั้นเราควรจะเขียนโน้ตไว้ที่หลังนามบัตรว่าบุคคลนี้มีความต้องการอะไร เราพอจะสร้างคอนเน็คชั่นอะไรกับเขาได้บ้าง เราเจอกับเขาที่ไหน หน้าตาของเขาเป็นอย่างไร โดยวิธีการเหล่านี้ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
3. ให้แรงจูงใจในการเอาลูกค้าใหม่เข้ามาเป็นลูกค้าของเรา
วิธีการนี้คือการที่เราจะดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาหาเรา โดยมีเทคนิคเยอะแยะมากมาย ในบางบริษัท เช่น ค่ายมือถือบางค่าย จะให้สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือใช้เพ็คเก็จแพง ๆ แต่ในบางบริษัทก็อาจจะใช้วิธีการลดราคาสำหรับลูกค้าที่ซื้อในบิลแรก เป็นต้น
ซึ่งวิธีการนี้มีข้อควรละวังอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ การให้สิทธิพิเศษบางอย่างอาจจะทำให้ลูกค้าเก่าไม่พอใจ และเลิกใช้บริการของเรา เนื่องจากว่าอยู่มาตั้งนานไม่เคยได้ แต่ลูกค้าไม่ได้สิ่งที่ดีกว่า
4. ติดต่อลูกค้าที่ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
ส่วนใหญ่บริษัทต่าง ๆ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่า อาจจะเพราะเคยมีประสบการณ์ไม่ดีต่อกัน เหมือนเป็นปมในใจ ที่เวลาไปทำอะไรไม่ดีไว้ แล้วจะไปขอกลับคือดีมันเป็นสิ่งที่ยากมาก
ดังนั้น เวลาเราจะต้องทำให้ดีตั้งแต่แรก คือสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และจะต้องมีปฏิสัมพันธ์มีการโต้ตอบกับลูกค้าเก่าอยู่เสมอ
อย่างของผม ก็จะมีกิจกรรมจัดทำสัมมนาโดยให้ลูกค้าเก่าสามารถเข้ามาเรียนได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วก็จะมีกิจกรรมส่งท้ายปีใหม่ แล้วก็คริสต์มาส คือจะมาจับฉลากกัน เป็นการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า ๆ ซึ่งก็ทำให้ผมได้ลูกค้าเก่า ๆ เหล่านี้กลับมาอยู่เรื่อย ๆ เช่น บางคนก็ผมมาให้เป็นที่ปรึกษา บางคนก็กลับมาเรียนหลักสูตรใหม่ เป็นต้น
ซึ่งเราก็ควรที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นระบบเช่นกัน ไม่ใช่คิดจะทำเฉพาะตอนที่เรานึกขึ้นได้
5. การทำเว็บไซต์
หลายคนพึ่งพาอาศัยแต่ Facebook ซึ่งผมก็เน้นย้ำเสมอมาว่าอย่าเอาตัวเองไปผูกขาดกับแพลตฟอร์มเดียว และการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์มันมาจาก Google ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราเอาตัวเองไปมอบกายถวายชีวิตไว้ให้กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใดที่หนึ่งเพียงอย่างเดียว ผมก็บอกได้เลยว่าระบบประมวลผลมันไม่สามารถทำให้เราโดดเด่นขึ้นมาได้
แต่ถ้าหากเราทำเว็บไซต์ SEO ง่าย ๆ เลือกคีย์เวิร์ดมา 5-10 คำ ถ้าเราทำเป็น คนจะสามารถค้นหาเราเจอได้อย่างง่ายดาย อย่างผมเองก็มีเว็บไซต์ส่วนตัว และทำบทความขึ้นเว็บ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ได้ SEO จำนวนมาก และมีคนจำนวนมากที่ค้นหาเพื่อเข้ามาดูเนื้อหาต่าง ๆ ของผม (ผมทำเนื้อหาทั้งใน Facebook, Instagram, TikTok, Youtube, Twitter) หรือแม้กระทั่งชื่อผมเอง ผมก็ได้ทำ SEO เอาไว้ ทำให้ทุกคนสามารถค้นหา แล้วเจอผมได้ง่าย ๆ ใน Google
Facebook ไม่ใช่บ้านเรา…แต่เป็นบ้านเช่า
ดังนั้น เราควรเริ่มต้นทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง อาจจะลงทุนครั้งแรกไม่เกิน 1-2 หมื่นบาท หลังจากนั้นก็มีค่าใช้จ่ายในการดูแล อาจจะสัก 2-3 พันบาทต่อเดือน เราก็จะมีบ้านที่เป็นของตัวเอง และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งใครจะไล่เราออกจากบ้าน
6. หาพันธมิตรที่สามารถส่งเสริมธุรกิจกันได้
เราควรหาเพื่อนที่ทำธุรกิจ อาจจะมีกลุ่มลูกค้าเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน ซึ่งผมเองก็มีเพื่อนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งบางคนคิดว่าคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันจะต้องเป็นคู่แข่งกัน แต่สำหรับผม เราสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ช่วยเหลือกันได้ ร่วมงานกันได้
ถ้าใครคิดว่าคนนั้น คนนี้ เป็นคู่แข่งของเราเยอะแยะเต็มไปหมด แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตัวเองดีพอ ว่าจุดแข็งของเราคืออะไร เพราะต่อให้ขายสินค้าเหมือนกัน แต่เอาจริง ๆ ถ้าเกิดว่าเราทำการตลาดดี ๆ มี Brand Positioning ที่ชัดเจน คุณจะสามารถเป็นเพื่อนกับคนที่คุณเคยคิดว่าเขาเป็นคู่แข่งได้เยอะแยะมากมายเลย
ผมขอเน้นย้ำว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ เราจะทำธุรกิจได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งถ้าใครอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม ก็มาปรึกษาผมได้
7. เอาความรู้ความเชี่ยวชาญของตัวเองมาเล่าให้คนอื่นฟัง
การโปรโมทความเชี่ยวชาญของเราทำได้หลายรูปแบบ อาจจะเป็นการเขียนหนังสือ ทำเนื้อหาใน Facebook, Clubhouse, Youtube เป็นต้น เพื่อเอาความเชี่ยวชาญของเรามานำเสนอให้ผู้คนได้รับรู้ และทำให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาหาเราเอง เพราะคนส่วนใหญ่อยากจะคบหากับคนที่มีความเชี่ยวชาญ คนที่มีความสามารถอยู่แล้ว ดังนั้น ในยุคนี้การนำเสนอความเชี่ยวชาญของตัวเองสามารถทำได้ง่ายมาก ๆ
8. การทำออนไลน์รีวิว
โลกทุกวันนี้ต้องบอกว่ารายได้มาจากการตลาดออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องมีก็คือการรีวิว ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนเกิดความมั่นใจ เพราะว่าเมื่อคนมั่นใจแล้วก็จะวิ่งไปถามหาว่ามีคนรีวิวไหม มีคนพูดถึงไหม สินค้าตัวนี้ดีหรือเปล่า ดังนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรจะทำ
อย่างผมเองจะขอให้ลูกค้าทำการรีวิวใน GoogleMap เวลาที่ใครทำร้านอาหาร ร้านขนม โรงแรม ฯลฯ ถ้ามีคนรีวิวดี ๆ ใน GoogleMap เยอะ ๆ ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาเจอก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
หรือบางคนอาจจะทำแคมเปญให้ลูกค้ารีวิวในเว็บขายสินค้าออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ เพราะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
9. ถ้าจะซื้อแล้วพาเพื่อนมาด้วยจะได้ส่วนลด
ร้านอาหาร โรงแรม มักจะใช้เทคนิคนี้ เพื่อให้คนมาเข้าร้านเยอะ ๆ เพราะเป็นการทำให้ลูกค้า ไปพาลูกค้ามาอีกที เนื่องจากลูกค้าประจำ จะไปลากเพื่อน ๆ มา ก็จะทำให้เราได้ลูกค้ามาเพิ่ม แต่พอลูกค้าพาเพื่อนมาแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือการเก็บชื้อ เบอร์โทร อีเมล์ หรือว่าให้สมัครเป็นสมาชิกฟรี เพื่อแลกสิทธิประโยชน์อะไรสักอย่าง เพื่อที่เราจะได้ฐานข้อมูล
ซึ่งข้อนี้ต้องทำให้เป็นระบบ อย่างสม่ำเสมอ…
10. ตอบคำถามในสื่อสังคมออนไลน์
ในข้อนี้อาจจะไม่ใช่การตั้งใจโปรโมทความเชี่ยวชาญของตัวเอง แต่เราได้ประโยชน์ในทางอ้อม เช่น ผมไปเจอคนหนึ่งเป็นสถาปนิก จะคอยตอบคำถามในกลุ่ม Facebook เกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน สร้างบ้าน งานวิศวกรรมต่าง ๆ ซึ่งคนนี้ก็จะได้รับการนับถือในกลุ่มนั้น ๆ ว่าเป็นกูรู และมีคนคอยติดตาม
และทั้งหมดนี้ก็คือ หาลูกค้าใหม่แบบไหนโดยใช้งบน้อย ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ทันที ผมรับรองว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราได้ลูกค้าใหม่อย่างสม่ำเสมออย่างแน่นอน รวมถึง ผมอยากจะบอกว่าการหาลูกค้าใหม่ แม้จะเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการตลาด หรือฝ่ายขาย แต่เราควรที่จะให้มันเป็นจิตสำนึกร่วมของพนักงานทุกคน ทีมงานทั้งหมดก็ควรที่จะออกไปสร้างเครือข่ายด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งบริษัท และตัวของทีมงานเอง เพราะความสัมพันธ์มันเกิดจากคนที่เจอคน ดังนั้น ไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหน ไปทำธุรกิจอะไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เราพบเจอนั้นก็จะติดตัวไปด้วยนั้นเอง