เป็นฟรีแลนซ์แบบไหนให้ได้เงินแสน

[xyz-ips snippet="Podcast"]
พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์

น้อง ๆ หลาย ๆ คนตอนนี้ก็มีโอกาสได้ออกมาทำงานเป็นงานเป็นฟรีแลนซ์ หรือทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งผมก็เป็นเทรนนี้มาตั้งแต่ช่วงประมาณ 2 มาแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุโควิดขึ้นมา และมีคนลาออกจากงานมาเยอะมาก บางคนก็ออกมาพร้อมกับเงินก้อนที่บริษัทจ่ายให้ แต่บางคนก็ออกมาโดยที่ไม่ได้มีเงินทุนมากนัก ซึ่งหลาย ๆ คนก็ได้ออกจากงานประจำ มาทำงานเป็นฟรีแลนซ์ เป็นงานอิสระของตัวเอง

ซึ่งผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการออกมาโลดแล่น ทำงานของตัวเอง เป็นนายตัวเอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายอะไร ไม่ว่าจะทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นบทเรียนอย่างหนึ่ง

สมัยก่อน การทำงานฟรีแลนซ์ถือเป็นเรื่องยาก แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีความพร้อมนั้น การทำงานฟรีแลนซ์ในยุคนี้ถือเป็นสิ่งที่ง่ายมาก เพราะมีตัวช่วยเยอะแยะเต็มไปหมดเลย

ดังนั้น วันนี้ผมได้นำเอา 10 เทคนิคในการที่เราจะเป็นฟรีแลนซ์ที่มีรายได้หลักแสนต่อเดือนมาบอกกัน…

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/6567607/

1. เราต้องการลูกค้าแค่ 10 คนต่อเดือนเท่านั้น

ถ้ามาคิดตามหลักการแล้วเราจะพบว่าเพียงแค่เรามีลูกค้า 10 คนเท่านั้น ก็สามารถทำให้เราได้เงินแสนได้แล้ว โดยสินค้าหรือบริการที่เราทำไป ก็เฉลี่ยอยู่ที่งานละ 10,000 บาท ซึ่งเป็นราคากลางในตลาดส่วนใหญ่ที่เขาจ้างกัน แต่หัวใจหลักในเทคนิคนี้ก็คือ งาน 10,000 บาทนั้น เราจะต้องทำให้เสร็จภายใน 2 วัน

เพราะว่าในแต่ละเดือนเราจะมีเวลาทำงานอยู่ 20 ซึ่งใน 20 วันนี้เราจะรับงานลูกค้าได้ 10 ราย ค่าจ้างรายละ 10,000 บาท รายได้ของเราก็จะรวมแล้วได้ 100,000 บาทนั้นเอง (ถ้าเราเคลียร์งานให้จบภายใน 20 วัน เราก็จะมีเวลาหยุดพักได้ด้วย)

ซึ่งลูกค้าที่อยากจะจ่ายเงินจ้างฟรีแลนซ์ในราคาหลักหมื่น เราควรจะไปหาบริษัทที่เขามีรายได้เดือนละล้าน เพื่อที่เขาจะมีกำลังในการมาจ้างฟรีแลนซ์ให้ไปทำงานในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ หรือเป็นงานเฉพาะด้านที่ไม่มีคู่แข่งทำได้ รวมถึงงานที่เราทำได้เกินมาตรฐาน เราก็สามารถที่จะเรียกค่าจ้างในราคาหลักหมื่นได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เราจะต้องไปตามหาลูกค้าของเราให้เจอ…

2. ความสามารถในการเรียกเงินค่าจ้าง

เมื่อเราตามหาลูกค้าเงินหมื่นของเราเจอแล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ เรามีปัญญาในการเรียกเงินค่าจ้างหลักหมื่นจากเขาได้หรือไม่ ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสามารถทำงานให้ได้เกินมาตรฐาน เพราะถ้าหากเราทำงานได้เพียงตามมาตรฐาน เราก็จะไม่มีวันที่จะสามารถเรียกเงินมาก ๆ ได้ และถึงแม้เราจะเจอลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์ในระดับนั้น แต่ถ้าเราเรียกเงินค่าจ้างหลักหมื่นไม่ได้ มันก็เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์

โดยงานที่เกินมาตรฐานมีอยู่ 5 ระดับ คือ

  • ทำได้ เช่น ใช้โปรแกรม ใช้เครื่องมือได้ เข้าใจความรู้ขั้นต้น
  • ทำเป็น จะเป็นคนที่มีประสบการณ์ ได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรผิด อะไรถูก ทำให้ได้ผลงานที่ไม่ผิดพลาดอีก ประหยัดเวลา
  • เข้าใจความต้องการลูกค้า ถึงจะเป็นคนที่ทำงานดี ทำงานเป็น แต่ถ้าทำออกมาแล้ว ไม่ตรงตามความต้องการลูกค้า ก็ไม่มีประโยชน์
  • ปรับงานให้เข้ากับความต้องการลูกค้า บางครั้งการบรีฟงาน กับสิ่งที่เจ้าหน้างานนั้นมันไม่เหมือนกัน คนที่มีประสบการณ์มากพอ เขาจะสามารถปรับสิ่งที่เจอหน้างาน ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าได้
  • สอนได้ เป็นระดับความสามารถที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ และตกผลึกมาเป็นทีเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถทำซ้ำได้ ถ่ายทอดกระบวนการต่าง ๆ ให้กับคนอื่นได้ โดยที่ผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรกับการที่ลงมือทำเอง ซึ่งในระดับนี้ จะเป็นระดับที่เราจะเริ่มหาทีมงานมาช่วย สอนงาน จ่ายงานให้ทีมงานในสังกัดทำแทน โดยที่เราจะเป็นคนควบคุมอยู่ห่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เราสามารถรับงานได้มากขึ้น

***อย่างน้อย ๆ ที่สุด เราจะต้องมีความสามารถในระดับที่ เข้าใจความต้องการลูกค้า

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/6567728/

3. เก็บ Testimonial ลูกค้า

จะไม่ใช่แค่การเก็บแต่พอร์ตงานอย่างเดียวว่าเราทำงานให้ใคร ลูกค้าเป็นใคร ธุรกิจใหญ่โตแค่ไหน แต่ผมอยากแนะนำให้เราขอลูกค้าช่วยอัดวีดีโอ หรือเขียนชม หรือ comment ลงใน social media ต่าง ๆ เช่น Facebook, IG, เป็นต้น เพราะการเก็บ Testimonial แบบที่ผมแนะนำนี้ จะเป็นการเก็บข้อมูลที่น่าสนใจมากกว่า เพราะลูกค้าเป็นคนเล่าเอง

4. งานที่ดีที่สุดคือการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า

เวลาที่เราเก็บ Testimonial ลูกค้าส่วนใหญ่อาจจะพูดสั้น ๆ หรือพูดไม่เก่ง ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ เราจะต้องรู้จักวิธีเล่าปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไข ถ้าเรามีความสามารถในการเล่าเรื่อง เราก็จะได้เปรียบ

เพราะงานที่ดีที่สุดคือการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า โดยวิธีการเล่ามีดังนี้…

  • Problem – ลูกค้าเจอปัญหาอะไร
  • Feeling – ลูกค้ารู้สึกอย่างไร
  • Impact – ถ้าลูกค้าไม่ได้แก้ไข จะเกิดความเสียหายอย่างไร
  • Solution – คุณจะแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าอย่างไร เพราะงานที่ดีไม่ใช่แค่คุณมีรายชื่อของลูกค้า แต่งานที่ดีคือคุณเข้าใจปัญหาของลูกค้า เพราะคุณจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และไม่เหมือนกับคนอื่น
  • Result – ลูกค้าได้ประโยชน์อะไรหลังจากนั้น

ดังนั้น ในการที่เราจะเก็บ Testimonial เราจะต้องมีกระบวนการในการติดตามลูกค้า อาจจะโทรหาเป็นช่วง ๆ เพื่อที่จะเก็บข้อมูลว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าได้รับการแก้ปัญหา และผลเป็นอย่างไร

“คนที่เล่าเรื่องได้ดี คือคนที่เข้าใจเนื้องานอย่างลึกซึ้ง
ไม่ใช่แค่คนที่ทำงานเป็น แต่ตื้นเขิน
ไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้า…ตีโจทย์ไม่แตก”

5. ทำงานร่วมกับฟรีแลนซ์ที่หาเงิน

ถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์ เราก็ควรที่จะร่วมงานกับฟรีแลนซ์ที่เขาสามารถหาเงินได้หลักแสนต่อเดือน เพราะว่าคือคนที่มีประสบการในการหารายได้หลักแสนมาก่อน ซึ่งเขาจะสอนเราได้…

ซึ่งการที่เราจะทำงานร่วมกับฟรีแลนซ์เงินแสนนั้น สิ่งที่เราจะทำต้องทำก็คือ

  • ของานทำ ต่อให้ฟรีก็ควรทำ เพราะเราจะได้เห็น ได้เรียนรู้วิธีการทำงานว่าเขาทำแบบไหน ถึงหาเงินได้หลักแสน
  • ขอฟังบรีฟจากลูกค้าด้วยกัน เพราะเหนือกว่าคนที่เราไปทำงานด้วย ก็คือโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ
  • ขอความเห็นการตีโจทย์ จาก Mentor เพื่อเป็นแนวทางให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง หรือหากตีโจทย์ต่างกัน ก็จะทำให้รู้ว่าทำไมถึงคิดไม่เหมือนกัน และจะไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้หรือเปล่า
  • ขอให้เริ่มด้วย Reference ไม่ใช่ลงงานเลย ไม่ใช่ใช้เครื่องมือเลย แต่ควรจะเริ่มจาก mindmap หรือ Pinterest เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวบอกว่า เรากับคนที่ไปทำงานด้วยตีโจทย์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
  • ขอให้ติชม เพื่อเป็นการสะท้อนมุมมองจากคนภายนอกว่าเราทำงานเป็นอย่างไร
  • ขอวิธีคิดงาน อย่าทำตัวมี Ego เพราะถ้าเราเก่งจริง เราก็คงทำงานเหล่านี้ได้ไปนานแล้ว
เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/48195/

6. หาลายเซ็นเป็นของตัวเอง

คนที่พึ่งเริ่มต้นเข้าสู่อาชีพฟรีแลนซ์ ส่วนใหญ่จะทำงานตามขั้นตอน เพราะเวลาฝึกเราจะต้องมีรูปแบบขั้นตอนที่เราใช้ฝึก เหมือนระบบระเบียบว่าเวลาทำงาน เราจะเริ่มต้นจากตรงไหน ขั้นต่อไปคืออะไร และไปจบตรงไหน ซึ่งการทำงานรูปแบบนี้ก็มีข้อดีสำหรับคนที่อยู่ในระดับเริ่มต้น แต่ข้อเสียก็คือ งานที่ได้มันจะคล้าย ๆ กันไปหมดเลย ซึ่งคนที่มีประสบการณ์เขาก็จะจับทางได้เลยว่าได้รับการฝึกฝนเรียนรู้มาจากสำนักไหน

ในคนที่ทำงานไปนาน ๆ สะสมชั่วโมงบินไปเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มทิ้งขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์ไป และจะมีลายมือที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่เหมือนกับใคร และลอกเลียนแบบไม่ได้

7. หาที่ยืนในตลาด / ใจลูกค้า

งานที่ดีจะต้องเป็นงานที่จับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ควรจะต้องหาตลาดที่ชัดเจนสำหรับลูกค้าของเรา เราก็จะสามารถที่จะทำเงินแสนได้ง่าย ๆ ทำให้เราโฟกัสตลาดได้ถูกต้อง และกลุ่มเป้าหมายก็จะบอกด้วยว่าเราสามารถไปถึงเงินแสน เงินล้าน ได้หรือไม่ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะเป็นเครื่องสะท้อนขนาดตลาดของเราด้วย

8. ตั้งราคามาตรฐาน พร้อมหลักการ และเหตุผล

ต้องมีการทำราคากลาง โดยมีหลักการและเหตุผลด้วยว่ามันคืออะไร ตัวอย่างราคากลางของผม เช่น งานออกแบบจะมีราคากลาง คือ

  • หา template มาเปลี่ยน logo/ content ซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนักจะคิดค่าจ้าง 1,500 บาท
  • หา template ที่เข้ากับ brand positioning จะคิดค่าจ้าง 5,000 บาท เพราะผมจะต้องตีโจทย์ลูกค้าให้ได้ก่อน และไปหา template ที่สอดคล้องกับโจทย์ของลูกค้า
  • คิดงาน Creative design ขึ้นมาใหม่เลย เพื่อให้ตรงกับแบรนด์ ผมจะคิดราคาที่ 50,000 บาท
  • คิด Creative design & brand book จะคิด 200,000 บาท
  • คิด Brand strategy, communication, collateral จะคิด 1,000,000 บาท

เราจะเห็นได้ว่า งานออกแบบนั้นก็มีอัตราค่าจ้างตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักล้าน ดังนั้น เราจะต้องรู้ว่าราคากลางในงานแต่ละระดับอยู่ที่เท่าไหร่ และจะต้องให้เหตุผลที่คุ้มค่าด้วย เพื่อให้ลูกค้ายินดีที่จะจ่าย

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/1916821/

9. งานดี ไม่พอ ต้องมีชื่อเสียงด้วย

นอกจากเราจะทำงานดี ทำงานเก่งแล้ว เราจะต้องสร้างผู้ติดตาม ซึ่งปัจจุบันนี้ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น

  • ตอบคำถามในเว็บบอร์ดต่าง ๆ หรือตอบในกลุ่มเฟสบุ๊ค
  • Live สดให้ความรู้
  • โชว์พอร์ตบ่อย ๆ เล่าให้ฟังว่าปัญหานี้คืออะไร แก้ไขอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไร
  • เขียนหนังสือ
  • ทำสัมมนา เพื่อให้รู้จักคนเยอะ ๆ และทำให้เรามีชื่อเสียง
  • เข้าหาเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมเดียวกันให้ได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคู่แข่งของเรา บางครั้งแม้แต่คนที่เป็นคู่แข่ง เราก็สามารถที่จะพึ่งพาอาศัย หรือมาเป็นแนวร่วม สนับสนุนการทำงานเราได้

10. จบงานให้ดี เพราะโลกนี้มันแคบจริงๆ

ไม่ว่าคุณจะทำดี หรือทำไม่ดี อย่าคิดว่าจะไม่มีใครรู้ว่าคุณทำอะไรเอาไว้ เพราะโลกแห่งการทำธุรกิจ มันแคบกว่าที่ใครหลาย ๆ คนคิดเอาไว้

และทั้งหมดนี้ก็คือ 10 เทคนิคในการทำธุรกิจ ที่เราจะสามารถนำเอาไปปรับใช้ และกลายเป็นฟรีแลนซ์เงินแสนได้ไม่ยากเย็นนัก

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า ปีหน้าจะทำอย่างไร

ไร้สาระสิ้นดี!!! ทำงานก็มีผลลัพธ์
แล้วทำไมต้องประจบเจ้านาย บ้าไปแล้ว
ทำไมไม่ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินหละ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมคนที่เก่งคน
เก่งการนำเสนอ และเจ้านายรัก
ถึงมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น?

อ่านต่อ »

เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

ทำงานดีทั้งปี เจ้านายไม่เห็นผลงาน
เจ้านายไม่รู้ เจ้านายไม่เห็นความสำคัญ
เพราะไม่ตรงกับเป้าหมาย ทำให้ตายก็
ไม่ไปไหนซักที
เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

อ่านต่อ »

รับสิทธิพิเศษมั๊ย?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

ลงทะเบียนตอนนี้ รับ E-Books ฟรี!!