พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น การงานดีขึ้น รายได้ดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น ความรักดีขึ้น มีรายได้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายของใครหลายคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถด้วย
“ถ้าวันนี้…คุณยังลอกความรวยไม่ได้
ให้คุณลองคิดดูว่า คุณจะลอกอะไรจากคนรวยได้บ้าง”
ถ้าคุณไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรวย สิ่งที่คุณจะลอกเลียนแบบก็คือวิธีการที่จะทำอย่างไรให้เรารวย…และถ้าใครเข้ามาอ่านบทความนี้แล้ว ผมก็ต้องบอกตามตรงว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะสามารถขยับรายได้ของตัวเองทีเดียวเพิ่มเป็น 10 เท่าในระยะเวลาสั้น ๆ
แต่มันเป็นไปได้ ถ้าหากเราใช้เวลากับมัน แล้วค่อย ๆ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วอะไรคือสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองให้เหมือนกับคนรวย…นั้นก็คือ ความคิด จิตใจ จิตวิญญาณ และองค์ความรู้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราจะลอกเลียนแบบได้
“ถ้าคุณยังขยับรายได้ไม่ได้…
ให้ลอกเลียนแบบวิธีการขยับความสามารถในการสร้างรายได้“
1. เพิ่มพูนความรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ
หลาย ๆ คนจะมองว่าข้อมูลวันนี้มันเป็นของฟรี ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ แต่ว่าถ้าหากเราดูในระดับโลก มันก็ยังมีบริษัทต่าง ๆ ที่จัดทำงานวิจัย เช่น การ์ดเนอร์, ไอ.บี.ซี หรือข้อมูลจากบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ระดับโลก ซึ่งถือเป็นข้อมูลระดับคุณภาพที่ผู้ประกอบการชั้นนำส่วนใหญ่ก็ยังให้ความเชื่อถือ และก็ยังเห็นคุณค่าของข้อมูลดี ๆ เหล่านี้ โดยก็ยังยอมต้องจ่ายเงินเพื่อให้เข้าถึงเข้ามูลอยู่ อย่างตอนที่ผมยังทำงานประจำ เราก็ซื้อข้อมูลจากบริษัท นิวสัน รีเซิจ โดยปีหนึ่งจ่าย 2-3 ล้านบาท สิ่งเหล่านี้คือข้อมูลที่คนมีเงินต้องการจะเข้าถึง
แต่สำหรับ SME หรือคนที่พึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ งบประมาณก็อาจจะมีไม่มาก ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดโอกาสเข้าถึงข้อมูลดี ๆ เหล่านี้ เพราะโดยปกติทุก ๆ ก็จะมีการทำวิจัยลักษณะนี้ออกมา ซึ่งจะมีบริษัทใหญ่ ๆ มาซื้อรายงานเหล่านี้ไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอมันเก่าแล้ว 2-3 ปี เขาก็จะมีการเปิดเผยรายงานนี้สู่สาธารณะ เราก็สามารถเข้าไปดูได้ แม้ว่ามันจะเป็นการดูย้อนหลังก็ตาม แต่มันก็จะทำให้เราเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรม
ดังนั้น เราจะต้องเพิ่มพูนความรู้ให้ได้เหมือน หรือใกล้เคียงกับคนรวย ๆ หรือคนที่อยู่บริษัทใหญ่ ๆ เขาเข้าถึงกัน หรือแม้แต่บางคน ก็เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ไดโดยไม่ต้องรอให้มันเก่าก่อน โดยการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนรวย ๆ หรือบริษัทใหญ่ ๆ เพราะข้อมูลในวันนี้มีอยู่เยอะแยะมากมาย แต่อยู่ที่ว่าเราจะรู้วิธีการเข้าถึงมันหรือเปล่า
ถ้าคุณไม่รู้สิ่งใดให้หาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งในยุคที่มีความรู้อยู่เกลื่อนกลาด เป็นยุคที่ข้อมูลภายใน 1 ปี รวมกันแล้วมีปริมาณมากกว่าหนังสือที่เขียนกันมาหลายร้อยปี แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ คือการจัดการความรู้ที่มีอยู่เยอะแยะมากมายให้เอามาใช้ประโยชน์ได้
“ความรู้ที่คุณควรมีคือ…รู้ว่าอะไรควรรู้ และนำไปใช้กับตนเองได้อย่างไร”
2. นำเสนอตัวเองต่อสังคม
ถ้าวันนี้เรายังไม่รวย แต่เราก็สามารถลอกวิธีการนำเสนอตัวเองต่อสังคมอย่างมีมารยาท และแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพแบบที่คนรวย ๆ เขาทำกันได้ อาจจะเริ่มจากบุคลิกภาพภายนอก คือการแต่งกาย เสื้อผ้า หน้า ผม ให้มีความเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ หรือกับเวลาและสถานที่
คงไม่มีใครเคยเห็น…หมอใส่เสื้อสกปรก ผมไม่หวีในที่ทำงานตรวจคนไข้
คงไม่มีใครเคยเห็น…ทนายใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นในศาล เพื่อว่าความ
คงไม่มีใครเคยเห็น…นักขายที่พูดจาไม่สุภาพ ถูกที่ถูกเวลา ในการนำเสนอ
เพราะเสื้อผ้า คำพูด สิ่งเหล่านี้แม้บางคนจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ควรแสดงออกมาให้เหมาะสมตามโอกาสที่เราไปปรากฏตัว และในวันที่คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ ในวันที่ยังไม่รวย คุณก็สามารถแสดงมารยาทที่น่าคบหาสมาคมได้…
“เพราะการวางตัวได้ดี จะทำให้คุณพบเจอคนดี ๆ
และคนดี ๆ เหล่านั้น จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ”
3. เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม
การเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศของคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน เพราะสิ่งแวดล้อมจะหล่อหลอมเราให้เป็นไปตามสิ่งที่อยู่รายรอบเรา มันจะทำให้เรารู้จักผู้คน รู้จักโอกาส รู้จักวิสัยทัศน์ และรู้จักแนวทางในการที่จะประสบความสำเร็จในแบ่งที่คนรวย ๆ เขาทำกัน
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สายสัมพันธ์ที่ดี คือหนทางแห่งความสำเร็จ เชื่อหรือไม่ว่า ถ้ามีสินค้าเหมือนกัน แบบเดียวกัน แต่คนจะอยากซื้อจากคนที่เรารู้จักหรือเพื่อนสนิท มากกว่าซื้อจากคนแปลกหน้า
การมีความสัมพันธ์ที่ดี…ย่อมช่วยให้คุณขายของได้
การมีความสัมพันธ์ที่ดี…ย่อมช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาส
การมีความสัมพันธ์ที่ดี…ย่อมช่วยให้คุณเข้าถึงทรัพยากร
การมีความสัมพันธ์ที่ดี…ย่อมช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ
ถ้าคุณเลือกที่จะเล่นกีฬาที่ต้องใช้วินัยสูง เช่น วิ่งมาราธอน คุณก็จะได้เจอคนที่มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตที่สูง
ถ้าคุณเลือกที่จะเล่นกีฬาที่ใช้สมาธิสูง เช่น กอล์ฟ คุณก็จะเจอผู้บริหารที่ต้องการฝึกฝนจิตใจ
ถ้าคุณเลือกเข้าสัมมนาที่มีแต่ผู้บริหารมาเรียน คุณก็จะได้คอนเนคชั่นที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น
เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราจะถูกหล่อหลอม และได้รับแรงสนับสนุนเพื่อให้เราเป็นไปตามแบบอย่างของสังคมรอบตัวเสมอ ดังนั้น คุณควรเป็นคนดี น่าเชื่อถือ เพราะจะทำให้คุณสามารถเข้าไปเป็นสมาชิกหนึ่งของสังคมที่คุณต้องการได้
“อยากมีสังคมที่ดี ให้เริ่มต้นจากการเป็นคนดี
ถ้าคุณเป็นคนไม่ดี ต่อให้ชุบตัวเองแค่ไหน ไปคบกับใครก็ไม่ยั่งยืน
เหมือนกับเหล็กที่เอาไปชุบทอง สุดท้ายมันจะเป็นสนิมอยู่ดี”
4. ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่ “มีความเหลือเฟือ”
“ความเหลือเฟือ” ในที่นี้ไม่ใช่คนรวยนะ แต่เป็นวิธีคิดของคนกลุ่มนี้ ที่มีจิตใจแบ่งปัน จะมีเงินมากจะมีเงินน้อยไม่ใช่ประเด็น แต่เขาก็อยากช่วยเหลือผู้อื่นสม่ำเสมอ
ผมเองก็ได้เจอคนลักษณะนี้อยู่หลายคน และเวลาที่ผมจะเลือกคบคน ผมก็มีทริคก็คือ ผมจะมองว่าคนที่ผมกำลังคบอยู่นี้เป็นคนประเภทไหน
- Cost-based people คือ คนที่เวลาจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะชอบมองว่าเขาจะเสียอะไรไป มองทุกอย่างเป็นต้นทุนหมดเลย กลัวขาดทุน กลัวได้ไม่คุ้มเสีย
- Revenue-based people คือ คนที่เวลาจะทำอะไร จะชอบมองกว่า พวกเราจะทำอะไรร่วมกันได้บ้าง จะทำรายได้ร่วมกันอย่างไร หรือมีโอกาสอะไรบ้างที่เราจะมาทำงานร่วมกัน สิ่งที่เราเสียไปนั้นก็เสียไป แต่สิ่งที่เราได้กลับคืนมามันมีค่ากว่าหรือเปล่า
แค่ความคิดง่าย ๆ แบบนี้ มันทำให้โลกทัศน์ของคนเราเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วเลยทีเดียว เวลาที่ผมจะดิวกับใคร จะร่วมมือกับใคร ผมก็จะดูว่าเขาเป็นคนแบบไหน ถ้าเป็นแบบประเภทไม่อยากจะเสียอะไรเลย มองแต่ว่าตัวเองจะได้อะไร ผมก็จะไม่ร่วมงานด้วย แต่ผมจะชอบทำงานกับคนที่มองว่าจะร่วมกันทำอะไรได้บ้าง ให้มีคุณค่า ถ้าต้องเสียอะไรก็ยอมเสียได้ แต่ไม่ยอมให้มันเป็นการสูญเสียแบบไม่มีคุณค่า
“การที่เราให้…ไม่ใช่เพราะเรารวย
แต่เพราะเรารู้ว่าอะไรคือคุณค่าที่แท้จริง”
5. ศึกษาวิธีการหาเงิน จากคนสร้างรายได้มากกว่าคุณ 10 เท่า
ถ้าเราหาเงินได้ปีละแสน…เราต้องไปคุยกับคนที่หาเงินได้ปีละล้าน
ถ้าเราหาเงินได้ปีละล้าน…เราต้องไปคุยกับคนที่หาเงินได้ปีละสิบล้าน
เพราะการไปเรียนรู้วิธีหาเงินจากคนที่มีรายได้มากกว่าเรา 10 เท่ามันมีประโยชน์ และทำให้เราก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าเราเลือกที่จะคุยกับคนที่หารายได้มากกว่าแค่สองเท่า หรือสามเท่า มันจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะระดับความห่างชั้นมันน้อยเกินไป เราจะไม่สังเกตว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างเรากับเขา
อย่างตอนที่ผมทำงานมีเงินเดือน 15,000 บาท ผมก็คุยกับรุ่นพี่ที่สนิทกัน ซึ่งตอนนั้นรายได้เขาอยู่ที่ 30,000 บาท ผมก็บอกว่า ถ้าผมมีรายได้เท่าเขา ชีวิตผมสบายไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าพี่คนนี้จะมีความแตกต่างอะไรจากผมเลย เพราะระดับความห่างชั้นมันน้อยเกินไป
แต่สำหรับคนที่หาเงินได้มากกว่าเราสิบเท่า ความห่างชั้นมันจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน ทั้งวิธีคิด วิธีการ วิธีทำ ความเร็ว มันผิดกันมาก ๆ และการที่เราจะตามให้ทัน เราต้องใช้เทคนิคที่เรียกว่า Accelerated learning คือการเรียนรู้แบบติดจรวด ซึ่งจะบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปภายในระยะเวลาสั้นๆ
ผมเองโชคดีที่ได้เรียนรู้จากเศรษฐีหมื่นล้านตลอดระยะเวลา 1 ปี เพราะต้องประชุมด้วยกันทุก ๆ วันจันทร์ ซึ่งเขามีรายได้มากกว่าผม 1 แสนเท่า และผมก็มีโอกาสได้เรียนรู้จากเศรษฐีแสนล้านตลอดระยะเวลา 4 ปี เขารวยในระดับที่ใช้เงินปีละ 300 ล้านเพียงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
“วันนี้คุณเคยได้ใกล้ชิด หรือได้รับคำแนะนำจากคนที่เก่งกว่าบ้างหรือไม่ ?”
6. เลือกอาชีพ/ ธุรกิจที่ทำได้ยาก และเกี่ยวข้องกับอนาคต
อาชีพ หมอเป็นได้ยาก
Programmer เป็นได้ยาก
ทนาย เป็นได้ยาก
Biotech เป็นได้ยาก
Tokenomic เป็นได้ยาก
Mathematician เป็นได้ยาก (นักคณิตศาสตร์ประกันภัย)
อาชีพอะไรที่เป็นได้ยาก จะลำบากในช่วง 10,000 ชั่วโมงแรกเสมอ เฉลี่ยก็ใช้เวลาประมาณ 5 ปีเพื่อให้เรามีความเชี่ยวชาญ รวมถึงเมื่อไหร่ที่คุณทำได้เกินมาตรฐาน รายได้คุณจะเพิ่มได้มากขึ้น 10 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
“เมื่อไหร่ที่คุณทำได้เกินมาตรฐาน รายได้คุณจะเพิ่มขึ้นเอง”
7. Commercial mind: เป็นคนค้าขายเก่ง
อาชีพค้าขาย การตลาด เป็นอาชีพที่เริ่มต้นง่าย แต่ก็เลิกได้ง่ายเช่นเดียวกัน ใครก็เข้ามาทำได้ แต่คนที่ทำแล้วรวยนั้น ไม่ช่าจะทำได้ทุกคน
คนอาจจะมองว่าอาชีพค้าขาย อาชีพการตลาด ไม่ยากเท่ากับการเป็นหมอ เป็นวิศวกร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอนาคต แต่น้อยคนจะเข้าใจว่าอาชีพค้าขาย อาชีพการตลาด มันคืออาชีพที่ต้องเข้าใจหลักจิตวิทยา และการตัดสินใจในปัจจุบัน ใน Moment นั้น ๆ
โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อให้คุณเก่งแค่ไหนถ้าไม่มีทักษะ หรือความสามารถในการขาย คุณจะไม่มีวันขยายธุรกิจได้มากกว่า 10 เท่า
และทั้งหมดนี้ก็คือ เทคนิคการเพิ่มรายได้ 10 เท่า ซึ่งสามารถสรุปโดยย่อคือ…เรียนในสิ่งที่เขารู้ อยู่ในที่ ๆ เขาชอบไป ใช้วิธีคิด ที่เขาทำงาน และจงถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า
“ถ้าคุณยังลอกความรวยไม่ได้ คุณลอกอะไรจากคนรวยได้บ้าง!!!“