พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็อยากที่จะมีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็ต้องบอกว่าหลาย ๆ ครั้ง ที่ความก้าวหน้าในชีวิต มักจะมีอุปสรรคมาจากวิธีคิดของเราเอง เพราะวิธีคิดก่อให้เกิดพฤติกรรม ซึ่งถ้าเรามีวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง และเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาชีวิตให้มีความก้าวหน้าได้
ดังนั้น ในวันนี้ผมจะกล่าวถึง 10 อุปสรรค์ ที่กักให้คุณไม่ก้าวหน้า ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกเข้าไป ถึงเหตุปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้หลาย ๆ คนไม่สามารถจะพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะมีวิธีคิดที่เป็นปัญหา นั้นเอง
1. ไม่มีเป้าหมาย – Set vision of yourself
เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก คือเราจะต้องมีเป้าหมายก่อน ซึ่งหลาย ๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองมีเป้าหมายแล้ว เช่น อยากรวย อยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนี้เป็นแค่ความอยาก แต่ยังไม่ใช่เป้าหมาย เพราะการมีเป้าหมายนั้น เราจะต้องมีความชัดเจน คือมีระยะเวลามาเป็นตัวกำกับ เช่น อีก 5 ปี จะต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถเป็นของตัวเอง ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ขยายสาขาทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องหาเป้าหมายของตัวเองให้เจอกัน โดยเป้าหมายนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่มีพลังมากพอที่จะดึงเราให้ก้าวไปข้างหน้าได้
ซึ่งผมเอง ก็มีเทคนิคมาแนะนำ 2 แบบ ก็คือ การที่เราจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนและทรงพลังนั้น เราจะต้องเขียนมันลงไปในกระดาษ หรือถ้าบางคนไม่ถนัด ก็อาจจะหารูปภาพสิ่งที่เราอยากจะได้ เอามาแปะไว้ตรงที่เรามองเห็นบ่อย ๆ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ลืมเป้าหมายของตัวเอง และในทางจิตวิทยาก็จะทำให้เราเกิดแรงผลักดันภายใน เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า และทำเป้าหมายให้สำเร็จได้
2. ไม่ได้อยากได้จริง – Just want/ Not need
แต่ก็มีบางครั้งที่หายคนพอตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะดึงตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ซึ่งก็เป็นเพราะสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ ดังนั้น เราจะต้องกลับมาทบทวนดูว่า เป้าหมายของเรานั้นเป็น Need หรือ Want กันแน่ เพราะถ้าเป็น Need คือเป็นความจำเป็นที่เราจะขาดไม่ได้เลย สิ่งนั้นและที่จะเป็นตัวฉุดดึงเราให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
3. ไม่มีความโดดเด่น – Talent / Positioning
มีบางคนที่มาเรียนกับผมแล้วถามผมว่า “ไม่อยากโดดเด่นจะได้ไหม” ผมก็ตอบไปว่าได้นะ แต่คุณก็จะพลาดโอกาสในการที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย เพราะถ้าเราอยากรวย เราก็จะต้องมีความโดดเด่น เวลาที่เราจะพุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย ความโดดเด่นนั้นแหละที่จะทำให้เรามีความพราวจนได้รับการสนับสนุน หรือได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ถ้าไม่อยากเด่น เราก็จะเป็นคนปกติแบบธรรมดา ๆ มีรายได้แบบธรรมดา ๆ
4. ไม่มีเวลา – If you can play social media / drink alcohol
ทุกวันนี้คนชอบอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ไม่มีเวลาไปสัมมนา ไม่มีเวลาไปสร้างคอนเน็คชั่น ไม่มีเวลาเริ่มสร้างธุรกิจใหม่ งานประจำตอนนี้ก็ยุ่งเต็มทีแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แต่ลองสังเกตดูเถอะ หลายคนที่พูดแบบนี้ แต่ก็ยังมีเวลาเล่นโซเชียลมีเดีย มีเวลาไปกินเหล้า เฮฮาปาร์ตี้ มีเวลาดูซีรีย์ ผมคิดว่าเวลาเหล่านี้ เราสามารถเจียดเอามาใช้พัฒนาตัวเองได้ไหม แทนที่วันหนึ่งจะเล่นโซเชียลมีเดีย 2-3 ชั่วโมง ก็แบ่งเวลามาอ่านหนังสือสัก 30 นาที แล้วลองดูสิว่าชีวิตเราจะมีความก้าวหน้าไหม
ผมคิดว่า ปัญหาของคนทุกวันนี้ไม่ใช่การไม่มีเวลา แต่เงื่อนปมมันอยู่ที่ว่าเราจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน เพราะทุกคนมีเวลา และสามารถเลือกได้ว่าจะทำอะไร หรือจะไม่ทำอะไร ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสำคัญกับอะไรต่างหาก
5. ไม่มีเงินทุน – Develop skills set to sell into market
เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมาก บางทีกลายเป็นคำพูดที่ติดปากของใครบางคนไปเลยทีเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วผมไม่สนับสนุนให้เราพูดคำนี้ เพราะมันจะกลายเป็นการบ่มเพาะจิตใต้สำนึกให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ และทำให้ไม่ใช้สติปัญหาคิดหาวิธีการอื่นในการที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าในชีวิตได้
การสร้างธุรกิจหรือขยายธุรกิจนั้น ยังมีทางเลือกหลายแบบมากสำหรับคนที่ไม่มีทุน ทุกวันนี้มีโอกาสเปิดกว้างให้เราสามารถระดมทุนได้เสมอ แต่เราก็จะต้องมีดีในตัวเอง และมีความสามารถมากพอที่จะขายไอเดียของเราให้กับนักลงทุน ซึ่งวันนี้มีธุรกิจ SME ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเป็นธุรกิจที่เกิดจากการระดมทุน หรือบางคนก็อาจจะเริ่มต้นทำธุรกิจแบบพรีออเดอร์ เช่น บังฮาซัน อาหารทะเลตากแห้ง จ.สตูล ที่เริ่มต้นทำธุรกิจจากการไม่มีทุน จนปัจจุบันนี้มียอดขายหลายสิบล้าน
ดังนั้น ความจนที่น่ากลัวที่สุดคือความ “จนปัญญา” ซึ่งถ้าหากเราไม่มีทุน เราก็ต้องบ่มเพาะความสามารถและสติปัญญาของเราให้หลักแหลม เพื่อจะได้เข้าถึงลู่ทางอื่น ๆ ที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเสมอไป
6. ไม่มีเส้นสาย – Start making one if you don’t have
การอ้างเช่นนี้ ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเลย การที่เราไม่มีคอนเน็คชั่น ทางแก้ก็คือสร้างมันขึ้นมา ซึ่งเรื่องคอนเน็คชั่นเป็นสิ่งที่สร้างได้ แต่เราจะต้องเปิดตัวเองไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ในวงการอื่น ๆ ไปสัมมนา ไปทำงานเพื่อสังคม ซึ่งคอนเน็คชั่นเหล่านี้เราต้องเป็นคนที่วิ่งเข้าไปหามัน
และเรื่องคอนเน็คชั่นนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ฝรั่งเขาเคยทำวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวเลยว่า ถ้าเราอยากจะเชื่อมต่อกับใครก็ตามบนโลกไปนี้ เราก็สามารถที่จะเชื่อมต่อไปถึงได้ โดยเชื่อมต่อจากคนที่เรารู้จักและเชื่อมต่อเนื่องกันไป ซึ่งไม่เกิน 6 ต่อมันจะไปถึงใครก็ได้ในโลกนี้ที่เราต้องการ
ซึ่งพอผมมาทำธุรกิจผมก็พบว่ามันจริงนะ เพราะคนจะรู้จักกันไปหมดเลย คนนั้นรู้จักคนนี้ เชื่อมต่อกันไปเป็นทอด ๆ โดยผมเคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง เพื่อนของผมอยากจะเชิญมาดามแป้ง (นวลพรรณ ล่ำซำ) มากล่าวปาฐกถาในงาน ๆ หนึ่ง ก็มาถามผมว่ารู้จักไหม จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้รู้จักท่านโดยตรง แต่ผมก็เชื่อมไปจากคนที่ผมรู้จัก เชื่อมต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไปถึงมาดามแป้งได้
ดังนั้น อย่าอ้างว่าไม่มีเส้นสาย แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มี ก็ต้องสร้างโอกาส เข้าไปทำความรู้จักผู้คน วิธีการนี้จึงจะเป็นการพาตัวเองให้ก้าวหน้าในชีวิต
7. ไม่มีความรู้ – Google / Book / Seminar / Online course
ผมคิดว่ายุคนี้เราไม่ควรพูดว่าเรา “ขาดแคลนความรู้” เพราะอินเตอร์ได้ทำให้ความรู้ถูกแบ่งปันไปทั่วโลก เราแค่ไปค้นหา อยากรู้อะไรเราดูได้หมด มีทั้ง VDO มีทั้งรูปภาพ มีทั้งข้อความ แล้วก็แหล่งอ้างอิงแหล่งที่มา เรียกว่าความรู้มีอยู่ท่วมโลกเลยก็ว่าได้ รวมถึงหนังสือต่าง ๆ คอร์สสัมมนาต่าง ๆ ก็มีเยอะจนเราไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้หมดในชีวิตนี้
แต่วันนี้เราจะต้องรู้จักแยกแยะ ว่าข้อมูลอันไหนจริง อันไหนไม่จริง เราต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล และสิ่งนี้แหละที่จะทำให้เราเข้าถึงความรู้ที่มีประโยชน์ได้
8. ไม่ลงมือทำทันที – Progression not perfection
หลายคนมักจะบอกว่าเดียวค่อยทำก็ได้ ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ทำให้เราไม่เริ่มต้นสักที แต่ถ้าลองเปลี่ยนความคิดใหม่ ลงมือทำเลย ไม่ต้องรอให้พร้อมแบบ 100% ก็ลงมือทำไป เรียนรู้ไป ผิดพลาดบ้าง ก็แก้ไขไป วิธีการนี้จะเป็นการที่ทำให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่ต้องรอจนเราพร้อมแล้วค่อยลงมือทำ เพราะถึงตอนนั้นโอกาสอาจจะไม่หยุดรอเราแล้วก็ได้
9. ไม่อึดมากพอ พอไม่สนุกก็เลิกทำ – What are the right fit
มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมชอบมากคือ “โลกนี้ไม่มีคนล้มเหลว…มีแต่คนที่ล้มเลิก” ซึ่งผมว่ามันจริงในแง่ของการทำธุรกิจเหมือนกัน เพราะบางครั้งในการทำธุรกิจ เราก็วัดกันที่ความอึด บางคนเปิดธุรกิจพร้อม ๆ กับการมีคู่แข่ง แต่อึดอดทนกว่า จนคู่แข่งเลิกไปก่อนก็มี ซึ่งความล้มเหลวในธุรกิจบางทีมันชี้วัดกันยาก เพราะคนที่ทำธุรกิจขาดทุน เขาก็อาจจะสามารถกอบกู้พลิกฟื้นกลับคืนมาได้ในภายหลัง แต่ถ้าหากเราบอกว่าใครล้มเลิก อันนี้มันชี้วัดได้ชัดมาก เพราะถือเป็นการสิ้นสุดแล้วอย่างสมบูรณ์
รวมถึง บนโลกใบนี้มีงานอยู่มากมาย แต่ถ้าเราได้เลือกทำงานที่ทำแล้วรู้สึกว่ามันสนุก เราก็พร้อมที่จะอึดอดทนกับมัน ไม่ว่าจะเจอปัญหากดดันอะไรก็ตามที แต่ความสนุกมันจะมาชดเชยได้หมด ดังนั้น เราจะต้องสนุกกับการทำงาน และอึดอดทนที่จะทำมัน
10. ไม่รู้จักหาคนช่วย – Leverage
เราไม่สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง งานบางอย่างเราต้องให้คนอื่นช่วย เพราะแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่จะมีคนมาช่วยเราได้ เราก็ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดี ต้องเป็นคนมีน้ำใจ ต้องไม่เอาเปรียบคนอื่น และต้องเคยช่วยเหลือคนอื่นมาบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็ยากที่จะมีใครคิดมาช่วยเรา
ถ้าวันนี้เราเป็นคนดีพอ เป็นคนที่น่าสนใจพอ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาช่วย บางคนพร้อมจะมาช่วยเราโดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอด้วยซ้ำ
และทั้งหมดนี้ก็คือ 10 อุปสรรค ที่กักให้คุณไม่ก้าวหน้า ซึ่งถือเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกลงไปที่วิธีคิดของคนเราเลยก็ว่าได้ โดยเป็นต้นต่อของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เราแสดงออกมา แล้วกลายเป็นการปิดการโอกาสให้การเติบโต ทำให้ชีวิตไม่ก้าวหน้า ถ้าหากเราสามารถแก้ได้ครบทั้ง 10 ข้อ ชีวิตของเราก็จะก้าวหน้าอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากว่ามีบางคนที่ได้ทำมาหมดแล้ว ทั้ง 10 ข้อ และยังรู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้า ผมก็ยังมีอีกข้อหนึ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ให้คิด ก็คือ คุณอาจจะไม่ได้รักในงานนี้จริง ๆ ก็ได้ เพราะถ้าเรารักในงานอะไร เราจะพัฒนามันอยู่ตลอดเวลา และจดจ่ออยู่กับมันอย่างมีความสุข ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เป็นรากฐานของความสำเร็จและความก้าวหน้าในชีวิต