พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
สำหรับในวันนี้เราจะมาต่อกันในตอนที่ 2 ของ 30 คำถามสำคัญของการทำธุรกิจ สำหรับเนื้อหาที่ผมได้บอกไปเมื่อตอนที่แล้วนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่ถามเพื่อให้ให้เราฉุกคิดว่าธุรกิจของเราในอนาคตมันจะอยู่รอดไหม ซึ่งมีหลายคำถามที่เป็นลักษณะแบบชี้เป็นชี้ตาย ว่าถ้าเราตอบได้ เราก็จะสามารถอยู่ต่อได้ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากเราตอบไม่ได้เราก็จะหายไป
สำหรับในตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน คือเป็นคำถามใหญ่ ๆ ที่มีความสำคัญ ชวนคิด ชวนวิเคราะห์ ซึ้งถ้าใครได้อ่านแล้วพบว่ายังไม่เคยถามตัวเองเลย ก็ควรที่จะเริ่มต้นถามตัวเองเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป
11. คุณเอาความรู้ที่มีไปทำธุรกิจอื่นได้หรือไม่
เป็นคำถามที่ทำให้รู้สึกอึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะว่าในหลาย ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะในคนที่ทำธุรกิจมานาน ๆ หลายสิบปี พอต้องไปทำอย่างอื่นก็ทำไม่เป็นแล้วก็มี ซึ่งผมถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะมันหมายถึงการติดกับดักในอาชีพ ซึ่งในอนาคตอาชีพหลาย ๆ อย่างที่เราเคยทำได้ดี มันอาจจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว
เราเลยมีคุณค่า มีความภาคภูมิใจในศักยภาพของตัวเอง แต่ถ้าวันหนึ่งในอนาคต สิ่งที่เราทำได้ มันไม่ได้มีคุณค่าในโลกยุคใหม่อีกต่อไป แล้วความมั่นใจในตัวเองก็คงจะหมดสิ้นไปเช่นกัน
แต่ถ้าหากใครก็ตามมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ ผมก็บอกได้เลยว่าเราทุกคนสามารถนำเอาไปประยุกต์ในธุรกิจของเราได้
- Innovation base เรามีนวัตกรรมอะไรที่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่นได้ เช่น บริษัท CJ Auto นำช่วงล่างรถยนต์ไปปรับใช้กับรถไถนา ซึ่งถือเป็นการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงกัน
- Customer base ฐานลูกค้าเดิมที่เรามี สามารถซื้อสินค้าใหม่ ๆ ของเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้หรือเปล่า ถ้าเรามีฐานข้อมูลที่ดี เวลาเราจะออกสินค้าอะไรใหม่ เราก็สามารถทำการขายได้ง่าย
- Distribution base สินค้าตัวใหม่สามารถใช้ช่องทางกระจายสินค้าเดิมได้ไหม อย่างกรณีของเป๊ปซี่และเสริมสุขที่ยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจลง โดยเสริมสุขได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือเอส และนำสู่ตลาดโดยใช้ช่องทางเดิม ส่วนเป๊ปซี่เรียกได้ว่าสูญเสียแต้มต่อทางธุรกิจไป เพราะไม่ได้มีช่องทางกระจายสินค้าเป็นของตัวเอง
- Process base กระบวนการที่เราทำอยู่ในวันนี้ สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจใหม่ได้หรือไม่ ถ้ามันปรับใช้ไม่ได้เลยก็ถือว่ามีความเสี่ยง
- Knowledge base องค์ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เอาไปรับใช้ในธุรกิจใหม่ได้ไหม อย่างผมเองก็หุ้นส่วนก็ตกลงร่วมกันว่า ต่อให้เราไปเปิดธุรกิจใหม่ ๆ มากแค่ไหนก็ตาม แต่เราจะไม่ทิ้งธุรกิจดิจิทัล เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจทุกอย่าง เนื่องจากเราสามารถเอาเทคโนโลยีดิจิทัลไปปรับใช้ได้ในทุก ๆ ธุรกิจของเรา
12. สิ่งที่พนักงานทำทุกวันนี้ มีผลยังไงกับวิสัยทัศน์ของบริษัท
วันนี้พนักงานของเรายังใส่ใจ และมีอารมณ์ร่วมไปกับวิสัยทัศน์ขององค์กรหรือเปล่า หรือว่าแค่มาทำงานและรับเงินเดือน มาสาย กลับเร็ว ติดตามงานอะไรก็ไม่สนใจ
นอกจากนี้ พนักงานของเราใจหรือไม่ว่างานที่เขากำลังทำอยู่ มีส่วนสนับสนุนอะไรในวิสัยทัศน์ขององค์กร และสุดท้ายพนักงานสามารถสื่อสารให้ผู้อื่นภายนอกองค์กรฟังได้ง่าย ชัดเจนและทรงพลัง
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อตอนที่สงครามโลกยุติลง และเข้าสู่ยุคสงครามเย็น ที่ประเทศมหาอำนาจต่างช่วงชิงพื้นที่และความเป็นเบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยีอวกาศ ประธานาธิบดีอเมริกาคนหนึ่งได้เดินทางไปเยือนองค์การนาซ่า เขาได้พบกับพนักงานทำความสะอาด และมีการพูดคุยกัน โดยประธานธิบดีถามพนักงานทำความสะอาดว่า เขาทำอะไรอยู่ พนักงานทำความสะอาดก็ตอบว่า เขากำลังสนับสนุนภารกิจการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ของชาวอเมริกัน
ในทางปฏิบัติ ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับบริษัทของเรา หากพนักงานมีความรู้สึกร่วมแบบนี้ อะไรจะเกิดขึ้น…
13. คุณประเมินผลงานของธุรกิจตัวเองครั้งล่าสุดเมื่อไหร่
ผมบอกได้เลยว่า บริษัทจำนวนมากในประเทศไทย ไม่ได้มีการจัดประชุมแบบเป็นประจำ แต่ลักษณะการทำงานจะเป็นการสั่งงานลงไปว่าใครจะต้องทำอะไร และที่แย่ไปกว่านี้คือการไม่มีแผนธุรกิจ มีแต่เป้าหมายเพียงอย่างเดียวว่าปีนี้จะเอายอดขายกี่ล้าน โดยที่ไม่มีการวางกลยุทธ์ ไม่มีวางสมมติฐานจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดยอดขายที่เพิ่มขึ้น เมื่อไม่มีสมมุติฐานก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะทดสอบเรื่องอะไรบ้าง จึงไม่มีการประเมินผลงานที่เป็นรูปธรรม และในที่สุดถ้าวัดผลอะไรไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาตรงไหนและอย่างไร
14. คุณเคยนำบุคคลภายนอกวงการมาให้คำแนะนำธุรกิจของคุณหรือไม่
บางคนเชื่อว่าฉันรู้ดีที่สุดในธุรกิจนี้แล้ว เพราะปลุกปั้นมากับมือ ไม่มีใครจะประสบการณ์เยอะเท่ากับฉันแล้ว แต่หลายต่อหลายครั้ง ที่ผมเองก็เคยเจอคนที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจเดียวกันกับผม แต่สามารถชี้ทางสว่างให้กับผมได้อย่างที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน
ดังนั้น อย่าคิดว่าคนที่อยู่นอกวงการจะให้คำแนะนำเราไม่ได้ อย่าคิดว่าคนที่เด็กกว่า หรือคนที่ไม่มีประสบการณ์จะแนะนำเราไม่ได้ เพราะข้อดีของการที่เราเอาคนนอกวงการมาให้คำแนะนำ คือ
- เราจะได้มุมมองใหม่ ๆ ที่มาจากอุตสาหกรรมอื่น
- เราจะได้กลยุทธ์ที่เขาใช้ในอุตสาหกรรมอื่น และเป็นเรื่องใหม่ในอุตสาหกรรมเรา ซึ่งบางทีเอามาปรับใช้แล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีกับธุรกิจของเราได้ด้วยเช่นกัน
- เขาอาจจะมีทรัพยากรที่เราไม่มี และทำให้เราแก้ไขปัญหาได้ หรืออาจจะทำให้เราเจอคนเก่ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่กระโดดข้ามอุตสาหกรรมมาทำธุรกิจร่วมกันได้
15. ถ้าไม่มีเงินเข้าเลย ธุรกิจอยู่ได้กี่เดือน
เพื่อนผมเคยบอกว่า ถ้าตัวเขาเองไม่มีเงินเข้ามาเลย ธุรกิจของเขาจะอยู่ได้ 12 เดือน ซึ่งเมื่อก่อนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมีเงินทุนสำรองในการทำธุรกิจมากขนาดนี้ แต่เขาก็บอกว่าเขาเป็นเครเอทีฟเอเจนซี เวลาที่เขาทำงาน เขาก็อยากจะเลือกทำงานที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเขาในวงการด้วย ไม่ใช่แค่รับงานเพื่อเงินเฉย ๆ เพราะงานแบบนี้ไม่ได้หล่อเลี่ยงจิตวิญญาณของเขา
ดังนั้น ผมก็เลยลองแบ่งมาให้ว่าถ้าเป็นธุรกิจทั่วไป สินค้าเป็นที่ต้องการ มีกลุ่มลูกค้าชัดเจน ไม่ต้องเลิศหรูเกินงาม ซึ่งอย่างน้อยเราจะต้องมีกระแสเงินสดให้เพียงพอเพื่อใช้จ่ายในระยะเวลา 6 เดือน ถ้ามีน้อยกว่านี้ก็ลำบาก
แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่ดี ที่สามารถตั้งราคาขายให้แพงได้ กระบวนการทำงานค่อนข้างลงตัว ธุรกิจประเภทนี้ควรจะต้องมีกระแสเงินสดที่เลี้ยงตัวเองได้ให้เพียงพอในระยะเวลา 12 เดือน
และที่เหนือสุด คือธุรกิจที่ดีมาก ๆ ที่แม้ว่าจะไม่มีเงินเข้าบริษัทเลย แต่ก็สามารถจะอยู่ได้ถึง 18 เดือน ดังที่เราเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ ๆ บนโลกใบนี้ ที่มีกระแสเงินสดท่วมบริษัท บางที่สามารถอยู่กันได้เป็น 10 ปีเลยทีเดียว โดยที่ไม่ต้องมีเงิน ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะลงทุนกับนวัตกรรม ที่ต้องใช้เวลานานมาก แต่จะสามารถสร้างผลกระทบและคืนกำไรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
- ธุรกิจทั่วไป 6 เดือน (B)
- ธุรกิจที่ดี 12 เดือน (A)
- ธุรกิจที่ดีมาก 18 เดือนขึ้นไป (A+)
16. ถ้าคุณต้องไม่อยู่บริษัทเลย 1 ปี และคุณสามารถเขียนข้อความถึงพนักงานได้เพียง 1 ย่อหน้าคุณจะบอกว่าอะไร
คำถามนี้ผมเอามาจากบทความหนึ่งที่ผมได้อ่านเจอมาว่า…
มีการถามคำถามนี้กับ Satya Nadella ซึ่งเขาคือ CEO คนปัจจุบันของ Microsoft โดยเป็น CEO “คนที่ 3” ในประวัติศาสตร์ของ Microsoft
ซึ่งเขาก็จะส่งจดหมายถึงพนักงานทุกคน ดังนี้
“ถึงแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่เราก็จะต้องกระหายที่จะสร้างความสำเร็จ อุตสาหกรรมของเราสนใจเพียงนวัตกรรม และเราควรจะต้องทำให้นวัตกรรมคือแก่นแท้แห่งธุรกิจของเรา ในการเพิ่มแต้มต่อให้กับองค์กรทั่วโลก”
นี้คือสิ่งที่ CEO แห่ง Microsoft จะเขียนถึงพนักงานของเขา
ดังนั้น ลองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่อยู่บริษัทเลยในระยะเวลา 1 ปี เราอยากจะเขียนข้อความสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานของเราอย่างไร เพื่อให้พวกเขายังอยู่ในเส้นทางที่ไม่หลงทาง จนเบนเข็มออกจากวิสัยทัศน์
ลองคิดดู…ถ้าเป็นคุณ คุณอยากบอกอะไร
17. ถ้าลูกค้าของคุณเป็นรุ่นคุณยาย คุณจะบอกว่าธุรกิจของคุณ ทำอะไร / ขายอะไร (ในบริบทของธุรกิจ Technology/ Innovation)
สำหรับข้อนี้ ผมเองก็เคยประสบกับปัญหาด้วยตัวเอง ในช่วงที่ออกมาทำธุรกิจใหม่ ๆ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับโมบายแอพพลิเคชั่น ในขณะที่พ่อผมมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ผมกำลังทำ แต่พ่อของผมก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า ในเวลานั้นผมเองก็ไม่มีความสามารถที่จะอธิบายให้พ่อผมเข้าใจได้จริง ๆ ว่าแอพพลิเคชั่นมันคืออะไร แม้ว่าตอนนั้นแอพฯของผม ที่มีชื่อว่า BKK gossip, แมกกาซีนข่าวดาราบนมือถือ จะขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ก็ตาม
ซึ่งผมพึ่งจะสามารถอธิบายว่ามันคืออะไร ก็หลังจากที่ผมมีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายโมเดลธุรกิจ หรือวิธีทำเงินในธุรกิจของคุณให้ผู้สูงอายุเข้าใจได้ ก็แสดงว่าเราไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอย่างถ่องแท้
18. ถ้าคุณจะย้อนเวลากลับไปบอกตัวคุณเองให้ตัดสินใจแตกต่างออกไปคุณจะบอกอะไร ?
ถ้าเราสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ 5 ปีที่แล้ว เหมือนกับเรื่องราวในภาพยนตร์ เราอยากจะบอกอะไรกับตัวเอง แน่นอนว่าคนเกือบทุกคนอยากจะทำมัน เพื่อลบรอยบาดแผลและความเสียใจในอดีต แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันทำไม่ได้ เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่สามารถพามนุษย์ย้อนเวลากลับไปได้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในวันนี้ก็คือ เราจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อไม่ให้เราในอีก 5 ปีข้างหน้าต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
19. ยากแค่ไหน ที่ลูกค้าจะเปลี่ยนจากสินค้าของคุณ กลายไปใช้สินค้าคู่แข่ง
ผมเองเป็นคนที่สนิทกับลูกค้า และมีลูกค้าอยู่ท่านหนึ่งเขาบอกกับผมว่า เขาไม่อยากเปลี่ยนเอเจนซี ซึ่งถ้าปีหน้าผมสามารถปรับการทำงานได้ตามสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะต่อสัญญาให้
ผมรู้สึกเลยว่าลูกค้ารายนี้น่ารัก เพราะเขายังมาบอกเรา ว่าเราต้องปรับอะไรบ้าง เพราะแน่นอนว่าในบริษัทขนาดใหญ่ระดับมหาชน เขาก็จะมีกระบวนการเปรียบเทียบผู้ที่จะมารับงานหลาย ๆ ราย และรายไหนเหมาะที่จะมาทำงานร่วมกัน
ผมก็เลยมาถามเขา ตอนที่ได้ต่อสัญญากันแล้วว่า ช่วยบอกหน่อยว่าทำไมถึงอยากจะให้เราทำงานต่อ เขาก็บอกว่าเขาขี้เกียจจะทำความรู้จักกับเอเจนซีเจ้าใหม่ เพราะความ complex และรายละเอียดของสินค้ามันมีเยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นงานที่ยากมาก ๆ งานหนึ่งที่เราเคยทำ
แต่ผมเองก็เป็นคนไม่ได้คิดอะไรมาก บางเรื่องไม่ได้อยู่ในข้อตกลงตั้งแต่แรก แต่ถ้าเป็นสิ่งสำคัญ แล้วลูกค้าร้องขอมา เราก็จะทำให้ ซึ่งผมมีนโยบายอย่างหนึ่งจะบอกลูกน้องเสมอคือ “ทำให้ลูกค้าเป็นง่อย” แล้วเขาจะไม่มีวันหนีไปจากเรา
ดังนั้น เราต้องมีกระบวนการที่จะทำให้ลูกค้าไม่หนีเราไปใช้สินค้าของคู่แข่ง เรามีกระบวนการเหล่านี้หรือยัง
20. สิ่งที่คุณนำเสนอให้กับลูกค้ามีความแตกต่างจากคู่แข่งขนาดไหน
ผมแบ่งความแตกต่างออกได้ 5 ระดับ
- ไม่แตกต่างเลย หาได้ง่าย ๆ โดยทั่วไป สามารถหาของเจ้าอื่นมาทดแทนได้ภายใน 1 วิ ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะต้องลงทุนกับค่าการตลาดค่อนข้างสูง
- แตกต่างเล็กน้อย บางครั้งอาจจะต่างแค่รสชาติ หรือ ส่วนผสมเล็กน้อย
- แตกต่าง อยู่ในระดับที่ลูกค้าสัมผัสได้ เช่น รสนิยมการออกแบบ
- แตกต่างชัดเจน คือมีจุดขายไม่เหมือนใคร แต่ลอกเลียนแบบได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 18 เดือน
- แตกต่างแบบสุด ๆ คู่แข่งขันไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ภายใน 18 เดือน
ดังนั้นเราต้องถามตัวเองว่าเรามีความแตกต่างจากคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน เรามีความแตกต่างจนถึงขึ้นที่ลูกค้าไม่อยากจะใช้ของคู่แข่งแล้วหรือยัง
และทั้งหมดนี้ก็คือ 30 คำถามสำคัญของการทำธุรกิจ (ตอนที่ 2) ซึ่งถือเป็นคำถามที่มีประโยชน์ และควรที่จะนำเอามาถามตัวเองอยู่เสมอ ๆ เพราะถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยให้เราได้สำรวจตรวจเช็คตัวเองว่าธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องราวของ 30 คำถามสำคัญของการทำธุรกิจ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ สามารถติดตามต่อได้ในตอนที่ 3 ซึ่งถือเป็นตอนจบ