พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
มันเป็นคำถามสำคัญของการทำธุรกิจ เพราะความคิดดี ๆ มักจะเกิดขึ้นได้จากการตั้งคำถามที่ชาญฉลาด…
สำหรับตัวผมเองในบทบาทความการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทำให้ชีวิตของผมได้พบเจอกับผู้คนจำนวนมากที่มาพบผมพร้อมกับคำถามอันหลากหลาย และมีคำถามจำนวนมากที่เป็นคำถามที่ดี มีประโยชน์ แต่บางคนอาจจะไม่เคยคิดถึงคำถามเหล่านี้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีคำถามอะไรบ้างที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น มีวิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้น เพื่อให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในการทำธุรกิจ
1. เทคโนโลยีอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ล่มสลายไป
คำถามนี้เป็นคำถามเชิงกลยุทธ์และเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงที่จะตอบ…
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจโรงงาน ขนาดธุรกิจประมาณ 50 ล้าน และในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์โควิด ซึ่งส่งผลให้คนไม่เดินทาง คนไม่ออกจากบ้าน ทำให้ยอดขายของเขาหายไปไม่ต่ำกว่า 50% ในขณะที่ต้องเลี้ยงดูพนักงานจำนวนประมาณ 100 คน เรียกได้ว่าเหตุการณ์โควิดทำให้ธุรกิจเกิดความสั่นคลอนเลยทีเดียว
แม้กระทั่งสายการบินต่าง ๆ เมื่อคนไม่เดินทาง ทุกสายการบินก็ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น เพราะเมื่อคนไม่ได้เดินทาง สายการบินจะอยู่อย่างไร คำถามนี้แสดงให้เห็นว่าถ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์บ้านเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ธุรกิจอะไรบ้างที่จะล่มสลายไป คำถามนี้ จะช่วยให้เราหาคำตอบว่า ถ้าหากธุรกิจของเราจะต้องตายและหายไป ธุรกิจของเราจะมีอายุไขเท่าไหร่
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าหากมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้การซื้อขายถูกบันทึกแบบอัตโนมัติ เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน ที่ช่วยเรื่องการบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ และเราสามารถส่งภาษีทางออนไลน์ได้ รวมถึงถ้าในอนาคต อาจจะสัก 10 ปีหลังจากนี้ ถ้าเราใช้ AI ในการทำบัญชีทั้งหมด ต่อไปความต้องการของบริษัทบัญชีก็จะแทบไม่มีเหลืออยู่เลย ธุรกิจการบัญชีจะอยู่อย่างไร
ดังนั้น เราลองถามตัวเองว่าถ้าเทคโนโลยีมาถึง หรือเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ บนโลกใบนี้ มันน่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรได้อีกบ้าง ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นแล้วธุรกิจเราจะเกิดความเสียหายได้เลย
2. ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน คุณยังอยากจะเข้ามาทำอยู่ไหมในตอนนี้
ข้อนี้ถือเป็นคำถามเชิงกลยุทธ์เช่นกัน
ยกตัวอย่าง ถ้าวันนี้คุณไม่ได้ทำร้านอาหาร ลองพิจารณาดูสิว่าตอนนี้ธุรกิจร้านอาหารยังเป็นสิ่งที่คุณคิดจะทำไหม…
คำถามนี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ปัจจุบันได้ว่า ในปัจจุบันนี้ธุรกิจของเรา หรือุตสาหกรรมที่เราอยู่มันยัง Hot and sexy ยังเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจ หรือมีอนาคตอยู่ไหม
ธุรกิจบางอย่าง เมื่อ 5 ปีที่แล้วอาจจะมีความน่าสนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบริบทมันต่างออกไปแล้ว เราสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าเราไม่ถามคำถามนี้เลย เราก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสหยุดคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นเลย
หรือในขณะเดียวกัน ถ้าเราอยู่ในธุรกิจนั้นแล้ว แต่สถานการณ์มันไม่ดีเลย เราก็มีทางเลือกอยู่ 3 ทาง ก็คือ
- แก้ไข เพื่อให้ธุรกิจของเรา Hot and sexy มากขึ้น ในกรณีที่ถ้าอุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเติบโตได้อยู่
- ปิดกิจการ ถ้าเราทำได้ไม่ดีแล้ว อุตสาหกรรมนี้ก็ไม่ได้ Hot and sexy แล้ว
- ขายกิจการ ถ้าอุตสาหกรรมนี้ยังพอไปได้ แต่คุณอาจจะทำมันได้ไม่ดีแล้ว
** ถ้าเราเลือกที่จะขาย เราควรถามตัวเองว่า เราขายอะไร ทรัพย์สินแทบจะไม่มีราคา ถ้าคุณไม่มีแบรนด์ ถ้าคุณไม่มีฐานลูกค้า ถ้าคุณไม่มีช่องทางหรือสายสัมพันธ์ที่คนอื่นเข้าถึงไม่ได้
3. อะไรคือนิยามความสำเร็จของคุณ ถ้าไม่ใช่เงิน
หลาย ๆ คนที่มาคุยกับผม ผมจะชอบถามคำถามนี้ เพราะบางคนอาจจะบอกว่าเป้าหมายความสำเร็จของตัวเองคือการเป็นอายุน้อยร้อยล้าน หรือบางคนก็อยากจะเป็นนักธุรกิจพันล้าน หมื่นล้าน เป็นต้น
ซึ่งไม่แปลกที่คนจำนวนมากให้นิยามความสำเร็จอยู่ที่ตัวเงิน แต่ผมอยากจะชวนคิดว่า ถ้าเราออกจากกรอบของเงินตรา ความสำเร็จของเรามันนิยามอย่างไรบ้าง
ถ้าบางคนธุรกิจใหญ่หน่อย เขาก็อาจจะคิดถึงผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น หลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้มีการเชิญชวนให้ผู้ถือหุ้นมาลงทุน ว่าการลงทุนครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดี
บางอุตสาหกรรมอาจจะแข่งขันกันที่รางวัลชนะเลิศ อาจจะเป็นงานโฆษณา งานครีเอทีฟ หรือรางวัลที่ไปแข่งขันมา ได้เหรียญทองระดับโลก
บางบริษัทจะสนใจเรื่องส่วนแบ่งการตลาด กำไรไม่ใช่เรื่องหลัก แต่เน้นเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด นานที่สุด หรือบางคนอาจจะอยากเป็นที่ 1 ของตลาด หรือบางบริษัทก็มีภารกิจที่อยากจะสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
หรือตัวอย่างของ Tony Robbins ที่ผมประทับใจมากคือ เขาบอกว่าภารกิจของเขาคือการที่มีโอกาสได้เลี้ยงอาหารคนปีละ 4 ล้านมื้อ ไม่ว่าจะเป็นคนยากไร้ คนพิการ คนด้อยโอกาสต่าง ๆ เฉลี่ยแล้วเขาเลี้ยงอาหารเดือนละ 333,000 คน ซึ่งมันทำให้เขามีความภาคภูมิใจมาก เพราะเขาบอกว่าจำนวนคนที่เขาเลี้ยงดูได้นี้มันคือตัวชี้วัดความสำเร็จของเขา
4. มีสิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงแล้วเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่
ถ้าเราเป็นคนไม่ชอบสังเกต บางครั้งสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเราก็ไม่รู้ตัว สิ่งร้าย ๆ เกิดขึ้นเราก็ไม่รู้เรื่อง ผมบอกได้เลยว่าความเสียหายของมันจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า เพราะถ้าเราจับสังเกตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี เราจะสามารถควบคุมมันได้ ถ้าเป็นเรื่องดี เราก็อาจจะทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำได้ หรือถ้าเป็นเรื่องไม่ดี เราก็อาจจะไม่ให้โอกาสมันเกิดขึ้นอีกได้
คนที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ คือคนที่ทำซ้ำในสิ่งที่ถูกต้อง และป้องกันในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น เรามีสิ่งเล็ก ๆ อะไรที่ช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่าบริษัทเราแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย และถ้าบริษัทไหนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย โอกาสที่จะเติบโตขึ้นก็ยากมาก เพราะคู่แข่งทุกคนต่างพากันขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ บางบริษัทก็สามารถจับจุดเล็ก ๆ แล้วนำมาอัพเกรดแบรนด์ตัวเอง อัพเกรดผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้น่าสนใจมากขึ้น
ถ้าใครไม่สามารถมองเห็นสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ก็อาจจะพลาดในผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ และทำให้ธุรกิจล่มสลายได้เลยทีเดียว
5. การตัดสินใจของคุณส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น
มนุษย์ตัดสินใจเยอะมากในแต่ละวัน อาจจะเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นครั้ง ในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ขับรถ วิ่ง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการตัดสินใจของเราทั้งสิ้น แม้จะเป็นการตัดสินใจของสมองอย่างอัตโนมัติก็ตาม ยังไม่รวมการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ เช่น เรื่องธุรกิจ เรื่องชีวิต เรื่องการเรียน
ดังนั้น เราลองตัดสินใจดูว่ามันมีการตัดสินใจอะไรบ้างที่สร้างผลกระทบให้กับเราในอนาคต เช่น ตัดสินใจแล้วส่งผลกระทบกับเราภายใน 10 นาทีหลังจากนั้น หรืออาจจะเกิดผลตามมา 10 วัน, 10 เดือน, 10 ปี หลังจากนั้น
เพราะฉะนั้นในแง่ของการทำธุรกิจแล้ว คุณภาพของการทำธุรกิจของเรา จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของการตัดสินใจ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเรา บางคนไม่เคยฝึกที่จะตัดสินใจเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในระดับ 3 ปี, 5 ปี แต่ตัดสินใจเพียงแค่ให้มันพ้น ๆ ไปวันต่อวัน เนื่องจากเขารู้สึกว่าเรื่องของ 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี ข้างหน้ามันไกลเกินไป นั้นก็เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่า อนาคตที่แสนไกลนั้นมันจะเข้าไกลเราเรื่อย ๆ ในทุกวินาที และเมื่ออนาคตมาถึง ถ้าเราตัดสินใจได้ดี มันจะทำให้วันนี้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
6. มีงานส่วนไหนบ้างที่เราไม่ควรใช้คนทำงานอีกต่อไป
มันอาจจะเป็นคำถามที่พอเราถามตัวเองแล้วทำให้รู้สึกเศร้า เพราะเหมือนกับคำถามที่นำไปสู่การไล่พนักงานออก เหมือนคนใจร้ายที่จะใช้หุ่นยนต์ทำงานแทน ใช้ software ใช้ AI ทำงานแทน
แต่ผมก็อยากจะบอกว่ามันไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเราถามแค่ว่า “งานส่วนไหนบ้างที่เราไม่ควรใช้คนทำงานอีกต่อไป” ดังนั้น ก็แปลว่าคนควรจะไปทำงานที่หุ่นยนต์ทำงานไม่ได้นั้นเอง เพราะเทคโนโลยียังมาไม่ถึง
หรือบางคนมองว่าถ้า AI สามารถทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ แล้วคนจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่ผมคิดว่าทำไมเราไม่มองว่า คนจะไปอยู่ในส่วนไหนได้บ้างในสมการเรื่องนี้ ถ้าเราตอบคำถามได้ ว่าทุกคนจะใช้ประโยชน์ร่วมกันกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างไร เราทุกคนจะก้าวไปพร้อม ๆ กันได้อย่างไร มันจะทำให้เราได้คำตอบที่ดีกว่า และจัดวางตำแหน่งแห่งที่ได้อย่างเหมาะสมตามบริบทและเงื่อนไขของช่วงเวลา
รวมถึง เราจะต้องมีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการอัพเกรดพนักงานของเราให้เป็นมนุษย์ยุคใหม่ที่จะสามารถอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าพนักงานคนไหนไม่ยอมอัพเกรดตัวเอง ก็แสดงว่าเขาได้ทำลายตัวเอง ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่เราเป็นผู้ทำลายเขา
7. คุณเปลี่ยนแปลงธุรกิจตัวเอง ทันคู่แข่งหรือลูกค้าไหม
ยกตัวอย่างเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า วันนี้รัฐบาลออกกฎหมายให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่ หรืออย่าง Toyota ที่เขาพยายามขายรถยนต์ Hydrogen ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้โลกต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า แต่เขาก็ผลักดันเรื่องรถยนต์ Hydrogen เพียงเพื่อจะรักษา supply chain ของรถยนต์สันดาป ให้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง
แต่ว่าโลกใบนี้มันเปลี่ยนเร็วกว่านั้น อีลอน มัสก์ คือหนึ่งในขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งกำลังจะทำให้โลกของยนตรกรรมเปลี่ยนแปลงไปหมดเลย
8. ใครใช้สินค้าของเราในรูปแบบที่เราไม่เคยนึกมาก่อน
อย่างตอนที่ผมนำเขาโดรนมาขายในไทย ตอนนั้นก็มีบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มาขอซื้อโดรนทีเดียว 10 ลำ ผมก็สงสัยว่าทำไมนายหน้าถึงมาของซื้อโดรน ตอนหลังก็เลยรู้ว่าเขานำไปถ่ายที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นภูเขา เป็นป่า ที่ครอบคลุมพื้นที่จำนวนมาก เขาก็อยากจะนำเอาไปถ่ายภาพให้มีความสวยงาม เพราะถ่ายจากมุมสูง และเก็บภาพบรรยากาศได้อย่างครบถ้วน ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างจากคู่แข่งด้วย
นี้ก็คือตัวอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน เพราะตอนแรกกลุ่มเป้าหมายที่ผมจับจะเป็น กลุ่มช่างภาพมืออาชีพที่ซื้อกล้องตัวละ 6-7 หมื่นบาท รวมถึงกลุ่ม Traveler นักเดินทางที่จากจะได้ภาพมุมสูงสวย ๆ
9. พนักงานใช้สินค้า หรือบริการของบริษัทหรือไม่….เพราะอะไร ?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ต้องตอบเลย…และสำหรับผมก็เป็นคำถามที่ผมเอามาถามตัวเองตลอด ในตอนที่ผมจะเป็นพนักงานประจำ หรือว่าตอนที่ผมทำธุรกิจเอง
ถ้าพนักงาน หรือว่าหุ่นส่วน ไม่ใช่สินค้าหรือบริการของเรา ผมบอกได้เลยว่าเป็นปัญหาแล้ว และต้องหาให้เจอว่ามันเกิดจากอะไร เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าและบริการของเราไหม หรือเกิดจากทัศนคติหรือรสนิยมไม่ถูกใจลูกค้าหรือเปล่า รวมถึงพนักงานเกิดความภาคภูมิใจไหมที่มาทำงานในบริษัทนี้
ผมเคยเจอคนที่เคยเป็นพนักงานจัดซื้อ แล้วเขารู้สึกว่าค่านิยมมันไม่ตรงกับความเชื่อของตัวเอง พอทำไปเรื่อย ๆ ภาระหน้าที่มันได้กัดกร่อนตัวตนของเขาให้สูญสลายไป เขาจะรู้สึกไม่ภูมิใจ รู้สึกผิด และสุดท้ายเขาก็ลาออกไป
ดังนั้น เราต้องถามตัวเองว่าพนักงานได้ใช้สินค้า หรือบริการของบริษัทหรือเปล่า รวมถึงพนักงานบอกต่อ และชวนเพื่อน ชวนญาติมาใช้หรือไม่
10. ตัวคุณ และพนักงานในวันนี้ เก่งกว่าเมื่อ 3 เดือนที่แล้วหรือไม่ ?
เราต้องถามตัวเองอยู่บ่อย ๆ เพื่อนำไปสู่ทางเลือกดังนี้
- ถ้าไม่เก่งขึ้นกว่าเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เราอยากเพิ่มเติมเรื่องอะไร
- ถ้าเก่งขึ้น เราจะทำอย่างไรให้พนักงานทุกคนได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
คำถามนี้ถ้าเราคิดไม่ออก แสดงว่าตัวเรามีปัญหาแล้ว หมายความว่าตัวเราไม่ได้พัฒนา หรือถ้าพนักงานเขาไม่รู้ว่าเก่งขึ้นหรือเปล่า ก็แสดงว่าเราไม่ได้ช่วยเขา ไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้มีระบบติดตามทุก ๆ 3 เดือน ไม่ได้มีเวลาไปคุยกับพนักงาน ไม่ได้มีเวลาไปสังเกต
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญ ถ้าพนักงานพัฒนาตนเองได้ในระยะสั้น ๆ ธุรกิจของเราก็จะพัฒนาไปด้วยเช่นกัน และคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจจงจำเอาไว้เสมอว่า “ถ้าเราพัฒนาเขา…เราถึงจะพัฒนา”
ยังไงก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ในวันหนึ่ง AI มันก็จะต้องมามีบทบาทในการทำธุรกิจของมนุษย์ ถ้าหากเราไม่มีการพัฒนาเลย ไม่ว่าเราที่เป็นเจ้าของบริษัทหรือพนักงานสุดท้ายก็จะไปไม่รอดด้วยกันทั้งคู่
และทั้งหมดนี้ก็คือ 30 คำถามสำคัญของการทำธุรกิจ (ตอนที่ 1) ซึ่งเรื่องราวดี ๆ ที่ทุกคนสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจในหัวข้อนี้ยังไม่จบ โปรดติดตามต่อได้ใน ตอนที่ 2