พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
สำหรับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งที่ทุกคนไม่อาจจะปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ก็คือจะต้องมีการทำ การตลาด และโดยส่วนใหญ่ เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ คนก็จะมักจะมุ่งไปที่การลงทุนโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเงินเป็นตัวตั้ง
แต่สำหรับในวันนี้ ผมจะนำเสนอเคล็ดลับในการที่เราจะสามารถทำการตลาดได้โดยไม่ต้องใช้เงินมากนัก หรือแทบจะไม่ต้องใช้เงินเลยก็ว่าได้ นั้นก็คือ 5 เทคนิค ทำการตลาดแบบไม่ต้องใช้เงิน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงแถมเบาแรงอีกด้วย ดังนี้
1. Drive Traffic
หัวใจสำคัญของการทำ Drive Traffic คือการมุ่งเน้นให้เกิดการมองเห็น และให้คนแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนในพื้นที่ของเรา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการที่เราเปิดร้านค้าขึ้นมาหนึ่งร้าน แล้ววางกลวิธีบางอย่างเพื่อกวาดต้อนให้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านของเราอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ว่าลูกค้าที่เขามานั้นจะซื้อสินค้าเราไป หรือในครั้งนี้อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อก็ตาม แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเป็นไปได้ว่าในวันหลังเขาอาจจะย้อนกลับมาซื้อสินค้าของเราก็ได้ เนื่องจากเขาได้รู้จักร้านค้าของเราแล้วนั้นเอง
ซึ่งกลวิธีในการต้อนให้คนเข้ามาในพื้นที่ของเรานั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เงิน เนื่องจากปัจจุบันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีพื้นที่ Online เป็นของตัวเอง เช่น Facebook, Line, Twitter ดังนั้น การที่เรานำเอาช่องทางเหล่านี้มาทำ Drive Traffic จะถือเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก
โดยสิ่งแรกที่เราจะต้องทำ คือการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ที่เรามีความชำนาญ หรือมีความสอดคล้องกับธุรกิจของเรา เช่น ถ้าหากเราทำธุรกิจขายประกันรถยนต์ เราก็ควรจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่มีความสนใจเกี่ยวกับรถยนต์ และเราจะต้องหมั่นเข้าไปตอบคำถาม หรือให้คำแนะนำในประเด็นต่าง ๆ ที่สมาชิกในกลุ่มกำลังสนใจ ซึ่งถ้าหากเราทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ก็จะทำให้มีคนมองเห็นเรามากขึ้น มีความน่าเชื่อถือ และจะเกิดแรงดึงดูดผู้คนให้คลิกเข้ามาเยี่ยมเยือนพื้นที่ออนไลน์ของเราเอง ซึ่งเมื่อมีคนเข้ามาในพื้นที่ของเรา ก็ถือว่าเราทำสำเร็จแล้วในขั้นตอนแรกนี้
“จุดเริ่มต้นของการตลาดแบบไม่ใช้เงิน
คือการดึงดูดให้คนหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ของเรา”
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือผมเองก็ได้มีการใช้ช่องทางของ Clubhouse เพื่อบรรยายให้ความรู้ในด้านการตลาด เพื่อให้คนที่สนใจในเรื่องนี้เข้ามาฟังกัน แต่กิจกรรมนี้สามารถส่งเสริมให้ Instagram ของผมมีคนเข้ามาติดตามเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต่ำกว่าวันละ 100 คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะทั้งหมดนี้ผมได้วางกลยุทธ์ต่อเนื่องเอาไว้ นั้นก็คือการสร้าง แรงจูงใจ ให้คนที่ฟังผมใน Clubhouse เข้าไปติดตามผมใน Instagram ด้วยนั้นเอง
ซึ่งเทคนิคการสร้างแรงจูงใจ หรือแรงดึงดูดนั้น เราจะต้องทำอย่างไร ไปดูต่อในเทคนิคข้อที่ 2 ได้เลย…
2. Giveaway
เทคนิคการตลาดแบบดึงดูด คือกลยุทธ์อย่างหนึ่งซึ่งช่วยดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายมุ่งหน้ามาหาเรา หรือเคลื่อนที่ไปยังจุดที่เราต้องการ โดยเราจำเป็นจะต้องใช้บางสิ่งบางอย่างมาสร้างแรงจูงใจ นั้นก็คือ ของฟรี ซึ่งดูเผิน ๆ อาจจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือ เราจะต้องสรรหาสิ่งที่เป็นของซึ่งมีมูลค่าไม่แพง แต่ทว่าสูงค่าในความรู้สึก
เพราะแนวทางของเราคือทำการตลาดแบบไม่ใช้เงิน หรือใช้เงินไม่มากนัก ซึ่งถ้าหากเราเอาของแพง ๆ มาแจก ถึงแม้ว่าคนจะอยากได้กัน แต่ก็ถือว่าไม่สอดคล้องกับแนวทางที่ตั้งไว้ในตอนแรก รวมถึงในมุมตรงกันข้าม ถ้าหากเราเอาของราคาถูก ๆ มาแจก สิ่งนั้นก็อาจจะไม่สร้างแรงดึงดูดมากพอที่จะให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาเรา
ด้วยเหตุนนี้ เมื่อคิดจะทำ Giveaway หัวใจสำคัญก็คือ ต้องเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แพง แต่สูงค่าในความรู้สึก
ขอยกตัวอย่างเรื่องที่ผมเคยทำการตลาดให้กับแคมเปญหนึ่งใน TikTok โดยเรากำลังคิดว่าจะทำ Giveaway ในกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นวัยรุ่น ซึ่งก็ได้มีการแบ่งปันไอเดียกันว่าจะเอาอะไรมาแจกดี โดยมีอยู่แนวคิดหนึ่งก็คือเราควรจะแจก iPhone เพราะเป็นสิ่งที่วัยรุ่นอยากได้แน่นอน
แต่เมื่อมาพิจารณากันอีกทีก็พบว่าต้นทุนของ iPhone ต่อเครื่องนั้นไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งถ้าหากจะทำกันจริง ๆ เครื่องเดียวอาจจะไม่พอ ดังนั้น จึงถือเป็นการ Giveaway ที่จะต้องใช้เงินทุนสูงพอสมควร รวมถึง iPhone แม้ว่าจะมีราคาแพง แต่ก็ไม่ใช่ของหายากอะไรมากนัก ใครก็ตามที่มีเงินย่อมสามารถที่จะหาซื้อ iPhone ได้ คุณค่าทางความรู้สึกอาจจะยังไม่มากนัก
หลังจากนั้นเราก็ได้ไอเดียใหม่ นั้นก็คือการแจกบัตรเข้าชมเดี่ยวไมโครโฟนของพี่โน้ต อุดม แต้พาณิช เพราะเมื่อพิจารณาดูแล้ว มูลค่าของบัตรอยู่ที่ใบละประมาณ 2,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงมาก แต่กลับเป็นสิ่งที่หายากมาก ๆ เพราะในการเปิดจองบัตรแต่ละรอบ บัตรจะหมดเร็วมาก และมีคนจองไม่ทันเยอะมาก ด้วยเหตุนี้ บัตรเดี่ยวไมโครโฟนจึงถือเป็นสิ่งที่มีความเหมาะสม สำหรับนำมาใช้ Giveaway ในแคมเปญนี้
“แม้ว่าจะมีมูลค่าไม่แพง
แต่การ Giveaway ต้องเป็นสิ่งที่สูงค่าในความรู้สึก”
เราจะต้องใช้ไอเดียเพื่อคัดสรรสิ่งที่เหมาะสมที่สุด โดยของบางอย่างจะไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำ ซึ่งในต่างประเทศ เวลาที่เขาจะทำ Giveaway บางทีก็จะใช้การแจกเครื่องมือในการทำธุรกิจ เช่น แจก PowerPoint ของ Twitter ที่เคยเอาไปใช้นำเสนอนักลงทุนต่าง ๆ จนสามารถระดมทุนได้มากถึง 1,000 ล้านเหรียญ
ซึ่งแน่นอนว่าการแจก PowerPoint เป็นสิ่งที่ต้นทุนต่ำมาก แต่ทว่าทุกคนอยากได้ เพราะคุณค่าของมันคือองค์ความรู้ที่ว่า จะทำการนำเสนออย่างไร ให้จะสามารถระดมทุนได้ 1,000 ล้านเหรียญ
3. Create content
เมื่อเราทำตามเทคนิค 2 ข้อแรกไปแล้ว ผู้คนจะเข้ามาหาเรา มาดูเรา มารู้จักเรา แต่วิธีการที่จะทำให้คนเหล่านั้นไม่จากเราไป นั้นก็คือการที่ทำให้คนเหล่านั้นเชื่อมั่นในตัวเรา ยอมรับในความสามารถของเรา ซึ่งปัจจุบันนี้การมีใบรับรองจากสถาบันการศึกษา หรือหลักสูตรต่าง ๆ อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เรียกได้ว่าใบรับรองคุณวุฒิของปีที่แล้ว อาจจะเป็นความรู้ที่ตกยุคไปแล้วในวันนี้ก็ได้ ถ้าไม่มีการอัพเกรดหลักสูตร
ดังนั้น วิธีการที่ง่ายที่สุดในการสร้างความมั่นใจ และทำให้ทุกคนยอมรับว่าองค์ความรู้ของเรายังไม่ตกยุคและทันสมัยอยู่เสมอ ก็คือการสร้างและนำเสนอเนื้อหาของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อเราดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ คำถามที่จะตามมาคือ เนื้อหาที่เราสร้างควรจะเอามันไปไว้ที่ไหน ซึ่งคำตอบก็ให้ไปดูต่อในเทคนิคข้อที่ 4 ได้เลย…
4. Landing Page
ปัจจุบันเรามีช่องทางในการนำเสนอ Content ได้หลากหลายช่องทาง เช่น YouTube, Facebook Instagram, Clubhouse เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราไม่ควรมองข้าม นั้นก็คือการมี Website เป็นของตัวเอง เพราะสิ่งนี้ถือเป็นช่องทางที่มีความมั่นคงมากที่สุด และเราสามารถควบคุมได้มากที่สุด
ส่วนการนำเสนอ Content ผ่านช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำควบคู่กันไป แต่นั้นเป็นเพียงทางผ่าน ไม่สามารถจะยึดถือเป็นทางหลักได้ เพราะถ้าวันหนึ่งเขาไม่ให้เราผ่าน ปัญหาก็จะตามมาแน่นอนหากเราไม่เคยเผื่อทางอื่นเอาไว้เลย อย่างเช่น คนที่ทำการตลาดผ่าน Facebook ก็น่าจะทราบดีว่า ปัจจุบันนี้ Facebook มีข้อจำกัดเยอะมาก และการทำการตลาดผ่าน Facebook ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่สามารถจะไปก้าวก่ายอะไรได้ เพราะเราไม่ใช่เจ้าของแพลทฟอร์ม
ดังนั้น การมี Website เป็นของตัวเอง จึงถือเป็นความมั่นคงในการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง เพราะถ้าวันหนึ่งเราไม่สามารถไปต่อได้ในช่องทางอื่น ๆ แต่สุดท้าย Website ของเราจะยังอยู่ ลูกค้าของเราก็ยังหาเราเจอ ซึ่งการทำ Website ในปัจจุบันนี้ก็มีราคาถูกลงกว่าเมื่อก่อนมาก
“Website คือจุดยุทธศาสตร์หลัก ที่เราวางกลยุทธ์เอาไว้
เพื่อให้ผู้คนที่เราเชื่อมต่อในช่องทางต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาที่นี่”
เมื่อเราได้ใช้เทคนิคทั้ง 3 อย่าง คือ Drive Traffic, Giveaway และ Create content สุดท้ายเราจะต้องมีการเชื่อมโยงช่องทาง ให้ผู้คนเข้ามาที่ Website ของเรา เมื่อเราสามารถกวาดต้อนผู้คนเข้าสู่ Landing Page ของเราได้ พวกเขาก็จะได้พบกับสิ่งที่เราเตรียมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอสินค้าหรือบริการ การเก็บข้อมูลลูกค้า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเรา ว่าเราอยากจะให้คนที่เขาหลั่งไหลกันเข้ามานี้ได้พบเจอกับอะไร
5. Automation
สำหรับในขั้นตอนนี้ ถ้าหากเรานำเทคนิคต่าง ๆ ไปใช้แล้วทั้ง 4 ข้อ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ระบบการตลาดออนไลน์ที่ไม่ต่างอะไรกับสายพาน ซึ่งนำพาผู้คนจำนวนมากให้หลั่งไหลมาหาเรา พร้อม ๆ กับชุดข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลที่จะถาโถมเข้ามาหาเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นงานที่หนักมาก ถ้าเราไม่มีผู้ช่วย
โดยเทคโนโลยีอัตโนมัติ หรือ Automation จะเข้ามาเติมเต็มในจุดนี้ และจะทำให้ระบบการตลาดของเรามีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เมื่อเรานำเอาระบบ AI เข้ามาใช้ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราอีกต่อไป แต่จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราสามารถที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ง่าย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ใน LINE Official Account หรือ LINE OA ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเราตอบคำถาม หรือนำทางให้ผู้คนเชื่อมโยงไปยัง Landing Page ต่าง ๆ ที่เราต้องการ โดยเราเพียงแค่ตั้งค่า Chatbot ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของเรา และหลังจากนั้นระบบ Automation ก็จะทำงานแทนเรานั้นเอง
และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 เทคนิคทำการตลาดแบบไม่ต้องใช้เงิน ซึ่งเทคนิคทั้งหมดนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากเรานำเอามาใช้งานร่วมกัน เพราะจะทำให้เกิดระบบที่ทำงานสอดประสานกัน เหมือนกับสายพานลำเลียงผู้คนให้เคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ และที่สำคัญที่สุด ระบบนี้สามารถทำงานได้เองแบบอัตโนมัติ
ซึ่งในท้ายที่สุด ตัวเราเองก็จะเหลือเพียงหน้าที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว ก็คือการออกไปสร้างมิตรภาพและพบปะกับผู้คนในช่องทางต่าง ๆ เพื่อเชื่อมต่อให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น หลั่งไหลเข้าสู่สายพานแห่งการตลาดที่เราวางระบบเอาไว้