พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
จริง ๆ แล้วศักยภาพของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก มนุษย์สามารถจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้ของเรามันอาจจะหลับใหลอยู่ เหมือนกับงานวิจัยที่กล่าวว่า โดยปกติคนเราจะใช้ศักยภาพของสมองเพียงแค่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ซึ่งถ้าหากเราสามารถที่จะเข้าใจการทำงานของสมอง เราก็จะสามารถดึงเอาศักยภาพทั้งหมดในตัวเองออกมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหนือความคาดหมาย และโดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจ ถ้าหากเราสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มความสามารถ เราก็จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้ไม่ยาก
ดังนั้น ผมจึงสรุปได้ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจนั้น จะต้องตั้งต้นกันที่กระบวนการทำงานของสมอง ที่วิธีการความคิด หรืออาจจะเรียกว่า mindset ก็ได้ ซึ่ง mindset ของคนเรานั้นจะมีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้
1. Under achiever
เป็น mindset ของคนที่เข้าถึงความสามารถของตัวเองระดับธรรมดา ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่ตัวเองมี
2. Achiever
เป็น mindset ของผู้ที่รักการแข่งขัน จะเป็นลักษณะของคนที่มีความสุขในการเอาชนะ คนพวกนี้จะใช้ความสามารถระดับเหนือคนทั่วไป เพื่อเข้าถึงศักยภาพในระดับที่มากกว่าคนทั่วไป เป็นการประสบความสำเร็จในระดับกลาง
3. High achiever
เป็น mindset ของคนที่อยู่ในระดับสูงสุด เพราะเป็นผู้ที่ต้องการจะไปให้สุดทาง โดยเขาจะเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง และต้องการชัยชนะในแบบที่ทิ้งห่างถึงจะพอใจ ซึ่งคนที่มี mindset แบบสุดท้ายนี้มักจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนของคนที่มี mindset แบบนี้ก็คือ Elon Musk นักธุรกิจที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ Elon Musk ได้ทำโครงการเกี่ยวกับการปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยจะมีขั้นตอนที่ต้องส่งดาวเทียมขึ้นไปโดยใช้จรวดเป็นตัวนำ และเมื่อปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเรียบร้อยแล้ว ตัวจรวดก็จะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกอีกครั้ง และตกลงสู่พื้นดินด้วยแรงโน้มถ่วง ซึ่งจรวดเหล่านี้ Elon Musk ได้ออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณให้กับโครงการนี้อย่างมากมายมหาศาล โดยถือเป็นอุตสาหกรรมอวกาศในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลย
นี่จึงเป็นตัวอย่างของ mindset ในคนที่ทำอะไรแล้วทำให้สุด คือถ้าจะประหยัดก็ต้องประหยัดให้ได้แบบสุด ๆ
วิธีคิดเป็นตัวกำหนดวิธีการ
วิธีการเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์
แล้วคุณล่ะ…เข้าถึงศักยภาพของตัวเองแล้วหรือยัง ? มันถึงเวลาที่คุณจะต้องมาดูค่าตั้งต้นของตัวเองแล้ว ว่า mindset ของคุณเป็นแบบไหน เพราะถ้าค่าตั้งต้นของคุณอยู่ในระดับต่ำ ความสำเร็จของคุณก็จะต่ำไปด้วย
ลองถามตัวเองดู ว่าคุณอยากเป็นผู้ไล่ล่า หรือผู้ถูกล่ากันแน่ ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจ ความสำเร็จจะต้องเป็นของผู้ล่าเสมอ ดังนั้น จงดึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมา แล้วใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด ดังนี้
7 วิธีที่ช่วยให้คุณเข้าถึงความสามารถสูงสุดของคุณ
1. Matter: สำคัญสำหรับคุณ
วันนี้คุณให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง…เพราะอะไรก็ตาม ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับเรา สมองของเราก็จะเค้นเอาศักยภาพสูงสุดมาใช้ในการทำสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ เราจะไม่เหลือพื้นที่ให้กับคำว่า “ไม่ได้” เพราะจะทุ่มเททำมันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากอะไรก็ตามที่มันไม่สำคัญ เราก็จะไม่ทุ่มเทความคิด ทุ่มเทการกระทำให้กับมัน
วันนี้ถ้าคุณทำธุรกิจ คุณลองให้ความหมายกับสิ่งที่คุณทำอยู่นี้…ลองคิดดูซิว่ามันมีความหมายกับคุณยังไงบ้าง แล้วมันสำคัญแค่ไหนสำหรับคุณ ถ้ามันมีความหมาย คุณจะมีพลังในการทำมันอย่างเหลือเฟือ
2. Initiate: ริเริ่ม ไม่ใช่ โต้ตอบ
การริเริ่มในที่นี้คือการคิดล่วงหน้าอย่างน้อย 10 สเต็ป ไม่ใช่เจอปัญหาแล้วค่อยคิด คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะเป็นคนที่ทำอะไรแล้วคิดล่วงหน้า โดยคาดการณ์อนาคตเสมอ ไม่ต่างอะไรกับคนที่เล่นหมากรุกอย่างชำนาญ เวลาเดินหมากแต่ละครั้ง เขาจะมีแผนล่วงหน้าเอาไว้แล้วอย่างน้อย 10 สเต็ปเลยทีเดียว
การทำธุรกิจก็เช่นกัน คนที่คิดถึงอนาคต จะเป็นคนที่รอดพ้นจากอันตราย เพราะเขาจะเห็นอันตรายก่อนที่มันจะมาถึงตัว พร้อมกับการป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น และสร้างความเสียหายใด ๆ ได้
วันนี้เราทำธุรกิจ ได้คิดเผื่ออนาคตเอาไว้หรือยัง…ปัจจุบันนี้โลกเปลี่ยนเร็วมาก และถ้าการทำธุรกิจยังคิดแบบเดิม ทำแบบเดิมสุดท้ายมันจะเป็นยังไง เราต้องมองอนาคตให้ออก เพราะบางคนคิดจะทำสินค้าแต่ไม่ดูบริบทแวดล้อมเลย ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเราไม่ปรับตัวไปตามสถานการณ์ วันหน้าเมื่อปัญหาเดินทางมาถึง ธุรกิจก็ไปไม่
3. Leverage: หาระบบที่ช่วยให้ใช้เวลาน้อยลง
ต้นทุนที่สำคัญในการทำธุรกิจ คือต้นทุนเรื่องเวลา สำหรับคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจจะรู้เรื่องนี้ดีว่าในแต่ละวันมีงานให้ทำจิปาถะเยอะมาก ดังนั้น ผมจะบอกเสมอว่าพยายามทำให้มันเป็นระบบ ไม่ว่าจะเอาคนมาช่วย หรือเอาเทคโนโลยีมาช่วยก็ตาม เพราะมันจะประหยัดต้นทุนด้านเวลาของเราให้ใช้น้อยลงไป
งานบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองก็ได้ ถ้าผลตอบแทนของงานมันต่ำกว่ามูลค่าของเวลาที่คุณมี เช่น ถ้าคุณต้องทำบัญชีเองทั้งหมด คุณจะต้องใช้เวลาประมาร 15 วันต่อหนึ่งเดือน แต่ถ้าคุณเอาเวลา 15 วันนี้ไปหาลูกค้า ไปขายของ คุณอาจจะมีรายได้เข้ามา 5 แสน
ดังนั้น ถ้าต้องเลือกจะไปหาลูกค้า หรือไปนั่งทำบัญชี ผมบอกได้เลยว่าเอาเวลาไปทำเงินดีกว่า ส่วนงานไหนที่มีมูลค่าต่ำกว่า เช่น การทำบัญชี คุณก็จ้างบริษัทบัญชีให้มาทำแทนไปเลย โดยเดือนหนึ่งอาจจะเสียค่าจ้างแค่ 10,000 บาท แต่มันคุ้มค่าที่คุณจะเอาเวลาไปทำหาเงินได้แสนกว่าบาท
4. Present: อยู่กับปัจจุบัน
เวลาเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ในตอนเช้าเราควรที่จะใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง เพื่อทบทวนและวางแผนว่าวันนี้เราจะทำอะไรบ้าง แหละหลังจากนั้นก็ให้โฟกัสงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ ซึ่งก็คือการอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มเปี่ยม ทำงานอย่างเต็มหัวใจ
ทุกวันนี้หลาย ๆ คนสูญเสียเวลาในปัจจุบันไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นเยอะมาก ซึ่งอาจจะด้วยเพราะไม่มีแผนในการทำงาน จึงถูกดึงเวลาไปกับเรื่องอื่น ๆ เช่น Facebook, YouTube ดังนั้น คนยุคนี้จะต้องมีสมาธิมากพอสมควรเพื่อที่จะโฟกัสงานที่อยู่ตรงหน้าให้สำเร็จลุล่วง และถ้าเป็นไปได้ เวลาไหนที่ทำงานผมคิดว่าควรปิดเสียง หรือปิดโทรศัพท์ไปเลยจะดีที่สุด
5. Move on: ช่างแม่งให้ไว แล้วไปต่อ
ผมมีปรัชญาในการทำงานและการใช้ชีวิตอยู่ 2 คำ คือคำว่า “เอาว่ะ” หมายถึง ถ้าคิดจะทำอะไรดี ๆ ให้ลงมือทำเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม กับคำที่สองคือคำว่า “ช่างแม่ง” หมายความว่า ถ้ามันพลาด เราก็ต้องปล่อยมันไป จะไปอารมณ์เสียก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งคนที่ทำธุรกิจแล้วผิดพลาด ถ้า Move on ไม่ได้ สุดท้ายก็จะพังทั้งระบบ เพราะติดหล่มอยู่ในความผิดพลาด
ดังนั้น การปล่อยวางเป็นสิ่งสำคัญมาก สมัยก่อนผมบ้ากอล์ฟมาก ฝึกหนักเกือบทุกวัน ทำแบบนี้อยู่ 2 ปี จนกระทั่งมาเรียนต่อ ป.โท ก็เลยไม่ได้มีเวลาไปเล่นกอล์ฟ แล้วก็หยุดไปเลย แล้วตอนหลัง พอผมได้มาเป็นผู้บริหาร ก็มีเหตุจะต้องไปตีกอล์ฟกับลูกค้าบ้าง เจ้านายบ้าง แต่เล่นต่างจากเดิม คือไม่เอาเป็นเอาตายมากนัก เพียงเล่นแบบชิว ๆ สนุก ๆ ซึ่งในจุดนี้เอง กลายเป็นว่าผมตีได้ดีกว่าตอนที่ผมซ้อมเยอะ ๆ เสียอีก อาจจะเพราะผมเล่นแบบไม่เครียด และจังหวะไหนพลาดก็ปล่อยวาง นี่ก็คือการ Move on
ซึ่งการทำธุรกิจ ก็ไม่ต่างกัน อย่าเอาเวลามานั่งเสียดาย เสียอารมณ์กับความผิดพลาดของตัวเอง ถ้าอันไหนมันผ่านไปแล้ว คือมันแก้ไขไม่ได้แล้ว ปล่อยวางเถอะ “ช่างแม่ง” แล้วไปต่อจะดีกว่า
6. Scheduling: กำหนดเป้าหมาย ใช้เวลาให้คุ้มค่า
ควรจะมีการทำตาราง และกำหนดแผนงาน เพราะจะเป็นวิธีการที่ทำให้คุณใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่า ซึ่งตัวผมเองก็ทำแบบนี้เช่นกัน ผมจะกำหนดเลยว่า ในหนึ่งวันผมจะต้องทำงานสำคัญให้เสร็จ 3 งาน ซึ่งงานสำคัญสำหรับผม คืองานที่ทำเงิน จริง ๆ ผมก็ไม่ได้งกอะไรขาดนั้น ที่คิดจะหาเงินอย่างเดียว แต่ผมคิดว่า เราจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้เลย ถ้าเรามันไม่สามารถวัดผลได้ ดังนั้น ผมเลยเอาเงินมาเป็นตัววัดผลของการพัฒนาตนเอง และการที่เงินจะเข้ามาได้ ก็มาจากสิ่งที่เราทำในแต่ละวัน ผมจึงโฟกัสในงานที่มันมีคุณค่าและสร้างผลกระทบต่อผลกำไร
ดังนั้น วันนี้เราลองคิดดูสิ่งที่เราทำอยู่ หรือให้ความสำคัญอยู่นี้ มันก่อให้เกิดผลกระทบต่อลูกค้า ต่อรายได้ ในเชิงคุณค่าหรือไม่ ถ้าหากวันนี้สิ่งที่คุณทำมันไม่ได้ส่งผลกระทบกับลูกค้า หรือรายได้ของธุรกิจเลย แสดงว่าสิ่งที่คุณทำมันยังไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่ามากพ่อ จงออกแบบตารางเวลาของคุณเสียใหม่ ก่อนที่จะสายเกินไป จงใช้เวลาได้อย่างคุมค่า
7. Compete with your best version: ต้องดีกว่าเก่า
ข้อสุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญมาก เราจะต้องแข่งขันอยู่เสมอ ซึ่งไม่ใช่การแข่งขันกับคู่แข่งแต่อย่างใด แต่คุณจะต้องแข่งกับตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดที่คุณเคยเป็น ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Beat your prime เอาชนะตัวคุณเองในช่วงเวลาที่คุณเจ๋งที่สุด
ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเองก็คิดว่าที่ผมมาถึงจุด ๆ นี้ได้ เพราะผมคิดเสมอว่าต้องดีกว่าเก่า ต้องแข่งกับตัวเอง เพราะถ้าผมคิดว่าผมสำเร็จแล้ว ผมไม่มีอะไรจะต้องพัฒนาอีกต่อไปแล้ว สุดท้ายผมก็จะไม่มีอนาคต เพราะมัวแต่ไปยึดติดอยู่กับความสำเร็จในอดีต ถ้าผมหยุดเดิน ผมก็จะกลายเป็นคนที่ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เพราะในขณะที่เราหยุดเดิน แต่โลกไม่เคยหยุดหมุนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง และเราเองก็สามารถจะดีได้มากกว่านี้ พัฒนาตัวเองเถอะ…
และทั้งหมดนี้ก็คือ 7 วิธีดึงศักยภาพสูงสุดในฐานะเจ้าของธุรกิจ ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นหนึ่งกำหลังใจ ที่ทำให้หลาย ๆ คนอยากจะทำชีวิตให้ดีกว่าเดิม และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง…เพราะว่าดีที่สุดมันยังไม่ถึง
รวมถึง ถ้าหากว่าใครอยากรู้ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองแบบไหน ผมก็มีแบบทดสอบที่จะทำให้คุณเข้าใจถึงศักยภาพเฉพาะตัวที่มีอยู่ และเมื่อเข้าใจตนเอง ก็จะใช้ศักยภาพที่มีไปกับการเป็นผู้ประกอบการที่เหมาะสม เลือกทำธุรกิจที่ถูกกับจริต ซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
โดยคนที่สนใจจะทำแบบทดสอบนี้ ให้เข้าไปที่ Line OA ของผม แล้วพิมพ์คำว่า “ทดสอบ” ได้เลย