9 บทเรียนธุรกิจจากหนังเรื่อง The Intern

[xyz-ips snippet="Podcast"]
พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์

หนัง หรือ ภาพยนตร์ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิต ในการทำงาน รวมถึงในการทำธุรกิจ เพราะถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต เราจะพบว่าเวลาที่เราดูหนังนั้น จะมีบทเรียนต่าง ๆ มากมาย ให้เราได้ศึกษาเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน

และในวันนี้ผมจะมาแบ่งปัน 9 บทเรียนธุรกิจจากหนังเรื่อง The Intern โดยเป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 2015 ซึ่งเป็นเรื่องราวของ เบน วิทเทเกอร์ (รับบทโดย รอเบิร์ต เดอ นิโร) ชายวัย 70 ปี ในอดีตเคยทำงานเป็น Vice-President แต่หลังจากเกษียณ ก็ใช้ชีวิตบันปลายในการเดินทางท่องเที่ยว จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาของเขาเสียชีวิตไป ก็ทำให้เขารู้สึกหงอยเหงา จึงได้ไปสมัครเป็นพนักงานฝึกหัดในบริษัทเว็บไซต์ด้านแฟชั่น จนได้มาเจอกับ จูลส์ ออสติน (รับบทโดย แอนน์ แฮททาเวย์) ซึ่งเป็นผู้หญิงบ้างาน ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ โดยทั้งสองคนต้องมาทำงานร่วมกัน

สำหรับหนังเรื่องนี้ ถือเป็นหนังที่ดีต่อใจ แล้วก็ดีต่อการเรียนรู้ในการเป็นเจ้าของธุรกิจอีกด้วย เพราะได้ให้บทเรียนในการทำธุรกิจ ดังนี้

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/3184405/

1. ทำตัวเป็นตัวอย่าง

เราต้องทำเป็นตัวอย่าง เพราะผู้ติดตามกำลังดูเราอยู่ ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Walk the Talk คือเดินไปในทางที่เราพูด ซึ่งในหนังเรื่องนี้จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ จูลส์ ได้ทำตัวเป็นเสมือนกับลูกค้า คือสั่งสินค้าของตัวเองมา เพื่อจะได้เข้าถึงประสบการณ์ของลูกค้า แต่พอเปิดกล่องบรรจุภัณฑ์เสื้อผ้าออกมา ปรากฏว่าสินค้าบรรจุมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร และไม่ได้ให้ความรู้สึกที่น่าประทับ เธอจึงไปที่คลังสินค้า เพื่อไปพบกับพนักงานที่นั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไร เพียงแต่ไปคุยกับพนักงาน และแสดงให้ดูว่าควรจะพับเสื้อผ้า และบรรจุลงในกล่องอย่างไร

แล้วก็มีอีกฉากหนึ่งที่ เบน ได้ทำตัวอย่างให้พนักงานในบริษัทเห็น นั้นก็คือในบริษัทจะมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทุก ๆ คนจะนำเอาสิ่งของมาวางรวมกัน เช่น ของฝากจากบริษัทต่าง ๆ ที่ส่งเข้ามาเพื่อเป็นสินค้าตัวอย่าง

ในขณะที่ จูลส์ จะไม่ชอบโต๊ะตัวนี้ เพราะมันดูรก แต่เธอก็ไม่ได้ด่าว่าอะไรพนักงาน ซึ่งเธอจะเป็นคนที่เคลียร์โต๊ะตัวนี้ให้เรียบร้อยเอง จนกระทั่ง เบน ได้สังเกตเห็น เขาจึงได้จัดการเคลียร์โต๊ะตัวนี้จนเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งมันก็ทำให้ จูลส์ ประทับใจมาก เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ได้ถูกร้องขอโดยตรงเลย ซึ่ง เบน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงานคนอื่น ๆ

ดังนั้น บทเรียนของคนทำธุรกิจข้อแรก การด่าพนักงานอาจก็จะไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด แต่การที่เราลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ก็อาจจะมีประโยชน์มากกว่า

2. สามารถเข้าถึงได้

จูลส์ ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เพราะบริษัทของเธอเติบโตอย่างรวดเร็ว ชีวิตของเธอจึงหรูหราสุขสบาย มีบ้านหลังใหญ่ มีคนขับรถประจำตัว ไปไหนมาไหนด้วยรถลีมูซีน แต่สิ่งหนึ่งทำให้เราเห็น นั้นก็คือ เวลาที่เธอทำงานในบริษัท เธอจะเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย เพราะเธอไม่ใช้ห้องส่วนตัวในการทำงาน แต่จะมานั่งทำงานในพื้นที่ส่วนกลางของบริษัท ทำให้ได้ใกล้ชิดและและพนักงานสามารถเข้าถึงเธอได้ง่าย

หรือแม้กระทั่ง เบน ซึ่งเป็นแค่พนักงานฝึกหัด แต่เขาก็ถือเป็นตัวอย่างของการที่เข้าถึงผู้คนอยู่เสมอ โดยเขาจะให้คำแนะนำกับทุกคนที่มาขอคำปรึกษา ทั้งเรื่องงาน และเรื่องชีวิตส่วนตัว (เนื่องจากเขาเป็นผู้สูงอายุที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตก่อน)

ดังนั้น ในวันนี้ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งเป็นพนักงานธรรม เราลองพิจารณาตัวเองดูสิว่า วันนี้การทำงานของเรานั้น เข้าถึงเพื่อนร่วมงาน เข้าถึงผู้ใต้บังคับบัญชามากน้อยแค่ไหน

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/37836/

3. ทำตัวให้ง่าย ไม่เรื่องมาก

หลาย ๆ คนเวลาที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้วก็มักจะเปลี่ยนไป จากเป็นคนง่าย ๆ ก็เริ่มมีกรอบการใช้ชีวิตมากขึ้น มาตรฐานต่าง ๆ สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจาก จูลส์ ไม่ว่าเธอจะประสบความสำเร็จแค่ไหน เธอจะทำตัวติดดินอยู่เสมอ บางครั้งเธอนั่งเครื่องบิน Business Class ในบางครั้งเธอก็นั่งรถหรูลีมูซีน แต่ในบางครั้งเธอก็สามารถที่จะปั่นจักรยานไปรอบ ๆ โรงงานของเธอได้เช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแค่ไหนก็ตาม อย่าเผลอกลายเป็นคนเรื่องมากเด็ดขาด แต่ควรจะเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรัก เป็นเจ้านายที่ทำตัวง่าย ๆ

4. อย่าประเมินค่าคนต่ำเกินไป

หลาย ๆ ครั้งที่เรามักจะเผลอประเมินคุณค่าของคนต่ำเกินไป โดยการด่วนตัดสินใจจากสิ่งที่เรามองเห็นภายนอก เช่น อายุ การศึกษา รูปร่างหน้าตา เป็นต้น ซึ่งการประเมินคนต่ำเกินไป ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปิดกันศักยภาพที่แท้จริงของบุคคลอื่น โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นหัวหน้า หรือเจ้าของธุรกิจ ถ้าประเมินลูกน้องต่ำเกินไป ก็อาจจะทำให้ลูกน้องสูญเสียความมั่นใจ และหมดกำลังใจในการทำงานได้

จูลส์ ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกได้ประเมินศักยภาพของ เบน ต่ำเกินไป เพราะเธอไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับโครงการของฝ่ายบุคคลที่จะผู้สูงอายุมาทำงานด้วย เนื่องจากเธอมองว่าสิ่งที่บริษัททำนั้น เป็นธุรกิจออนไลน์ ซึ่งคนแก่อาจจะตามไม่ทันความรวดเร็วของเทคโนโลยีและโลกยุคใหม่ แต่เมื่อ เบน ได้เข้ามาทำงานร่วมกับเธอ เธอก็เข้าใจได้ว่าเธอด่วนตันสินคนเร็วเกินไป เพราะ เบน ถือเป็นพนักงานคนหนึ่งที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ และสามารถให้คำแนะนำกับพนักงานคนอื่นได้เป็นอย่างดี

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/7176305/

5. สองหู หนึ่งปาก เพราะฉะนั้นฟังให้มากกว่าสั่ง

พื้นฐานของการทำงานที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการเป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง เบน ได้แสดงออกให้เราเห็นอยากชัดเจน เพราะแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่อายุมาก ผ่านโลกมานาน ผ่านประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์ทำงานมาอย่างยาวนาน แต่เขาจะเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ และเป็นคนที่ฟังอย่างลึกซึ้งด้วย คือไม่ได้ฟังแค่เข้าใจในสิ่งที่คนพูด แต่เขาะฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่คนไม่ได้พูดด้วย และนี้ก็คือสาเหตุที่ เบน ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานที่มีอายุ 20 กว่า ๆ ที่สุดท้ายถึงกับเรียก เบน ว่า “พี่ชาย” เลยทีเดียว และไม่มีใครรังเกียจว่าเขาเป็นคนสูงอายุ

ดังนั้น การทำธุรกิจ หรือการทำงานร่วมกัน เราควรที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี เพื่อให้เราเข้าใจคนที่กำลังพูดอยู่ตรงหน้าเรา ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการจะสื่อสารเรื่องอะไร หรือเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร สิ่งนี้จะทำให้เราเข้าใจกันและกันมากขึ้น

6. สัญชาตญาณ

จริงอยู่ว่าการทำธุรกิจนั้น เราจะต้องมีแผนงาน มีข้อมูล มีงานวิจัย แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ อย่าละทิ้งสัญชาตญาณของตัวเองเราเป็นอันขาด

ซึ่งในหนังเรื่องนี้จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่นักลงทุนได้แนะนำว่าบริษัทของ จูลส์ จำเป็นจะต้องหา CEO มืออาชีพมาทำงาน แล้วให้ จูลส์ ไปทำงานในตำแหน่งอื่น เนื่องจากว่าธุรกิจนั้นเติบโตเร็วมาก ๆ จนทำให้เกิดปัญหาบางอย่างในบริษัท ซึ่งเธอก็ได้มีการคัดเลือกคนที่จะเข้ามาทำงานเป็น CEO แทนเธอ แต่ก็หาคนที่จะมาทำงานแทนเธอยากมาก แล้ว เบน ก็ได้บอกกับ จูลส์ ว่า อยากให้เธอมั่นใจในตัวเอง ไม่มีใครเข้าใจธุรกิจนี้ได้ดีกว่าเธอ ให้เธอเชื่อใน “สัญชาตญาณ” ของเธอเอง

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/302902/

7. อ่อนน้อมถ่อมตน

ในตอนแรกที่ จูลส์ ต้องทำงานกับ เบส เขารู้สึกไม่ชอบและเดินไปบอกฝ่ายบุคคลว่าให้เอาชายคนนี้ไปทำงานแผนกอื่น แต่พอผ่านไป 2-3 วัน เบน ก็ได้ทำ จูลส์ ประทับใจ แล้วก็เปลี่ยนความคิดว่าควรจะให้ เบน มาทำงานกับเธอ เพราะเธอจะได้มีผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษา ทำให้เธอมีสติ และสมดุลมากขึ้น เมื่อเธอนึกได้ก็เลยคิดจะไปตาม เบน กลับมา

ส่วน เบน เมื่อถูกย้ายไปอยู่แผนกอื่น เขาก้ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างโดดเด่น มีความอ่อนน้อมถ่อมต้นและช่วยเหลืองานในแผนกนั้นอย่างดี ซึ่งหน้าที่หนึ่งที่ เบน มีความโดดเด่นในแผนนั้นก็คือการไปซื้อกาแฟมาบริการทุกคน ซึ่งเมื่อ จูลส์ รู้เรื่องนี้ เธอก็เข้าใจว่าเธอได้ทำในสิ่งที่ผิดพลาดร้ายแรงมาก เธอจึงวิ่งไปที่ร้านกาแฟ และได้พบกับ เบน ที่นั้น และเมื่อเห็น เบน กำลังถือกาแฟเป็นจำนวนมาก เธอจึงรีบไปช่วย เบน หิ้วกาแฟทันที

ซึ่งในความเป็นจริง ในเรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงานนั้น จูลส์ สามารถใช้ให้เลขา หรือพนักงานคนอื่นไปตาม เบน กลับมาก็ได้ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะไปทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง

สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งในการที่เราจะทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งงานใด ๆ ก็ตาม

8. เอาใจเขามาใส่ใจเรา (เข้าใจลูกค้า)

การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นเรื่องที่จะขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการเอาใจใส่ลูกค้า เหมือนกับที่ จูลส์ ได้ทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง นั้นก็คือการไปซื้อสินค้าของตัวเอง เพื่อดูว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์อย่างไรเมื่อทำการเปิดกล่อง ซึ่งถ้าใครทำธุรกิจแล้วมีความละเอียด เอาใจใส่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ สิ่งที่เราทำนั้นเรียกได้ว่าคือการซื้อใจลูกค้าเลยทีเดียว

ตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวลาจัดสัมมนาแล้วจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะเอาตัวเองไปเทียบประสบการณ์ เวลาผมไปสัมมนาที่ต่างประเทศ ผมก็จะรู้สึกประทับใจสิ่งดี ๆ ที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการสอน ระบบแสงสีเสียง การต้อนรับขับสู้ต่าง ๆ อันไหนเป็นสิ่งที่ดี ผมก็จะอยากให้คนที่มาเรียนกับผมได้รับประสบการณ์แบบนี้ด้วย

ดังนั้น ในเวลาที่ผมจัดสัมมนา ผมจะเลือกโรงแรมดี ๆ อาหารดี ๆ และออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนต่าง ๆ ให้ดีที่สุด เหมือนกับสิ่งที่ผมเคยได้รับมา เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งดี ๆ กลับไป

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/4672709/

9. ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเท่าเทียมและไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในเรื่องนี้อย่างชัดเจนก็คือ เบน เป็นคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอดีตของตัวเอง แม้ว่าจะเคยได้เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงมาก่อน แถมมีอายุเยอะที่สุด แต่เขาก็จะทำตัวน่ารักเสมอ จนได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อนร่วมงาน เพราะเขาเป็นเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้การช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมกันทุก ๆ คน

ในหนังจะมีอยู่ฉากหนึ่ง ในขณะที่ จูลส์ กำลังทำงานอยู่ แล้วแม่โทรมา เธอก็เลยเกิดความรู้สึกหงุดหงิด และจะส่งข้อความไปเมาส์เรื่องแม่กับเพื่อน แต่ดันเกิดความผิดพลาดคือแทนที่จะส่งข้อความไปหาเพื่อน กลับกดส่งไปหาแม่แทน ซึ่งข้อความนั้นถ้าแม่ได้เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ

เธอก็เลยถามว่าจะมีใครช่วยเหลือได้บ้าง โปรแกรมเมอร์ก็บอกว่าอยู่ดี ๆ จะไปเจาะระบบไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ซึ่ง เบน ก็เลยให้คำแนะนำว่าควรจะไปขโมยเอาคอมพิวเตอร์ของแม่จูลส์ออกมา จนในที่สุดก็ต้องจัดทีม 5 คน เพื่อไปขโมยคอมพิวเตอร์ของแม่จูลส์

นอกจากเรื่องราวตลกขบขันแล้ว ฉากนี้ยังบอกเราให้รู้ว่า การที่ทุกคนจะมีความรู้สึกเป็นหนึ่งอันเดียวกันได้นั้น จะต้องผ่านโจทย์ปัญหายาก ๆ ก่อนเสมอ เวลาที่เราทำงาน ถ้าไม่เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุข ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็เป็นไปได้ยากที่จะสามารถหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้

เครดิตภาพ: www.pexels.com/th-th/photo/1024248/

และทั้งหมดนี้ก็คือ 9 บทเรียนธุรกิจจากหนังเรื่อง The Intern ซึ่งผมอยากให้ทุกคนที่ทำธุรกิจ ได้มีโอกาสไปดูกัน โดยผมมีประโยคสุดท้ายที่อยากฝากเอาไว้ และเป็นโยชน์ที่ผมชอบมาก

ซึ่งเป็นคำพูดของ เบน ที่เขาได้อัด VDO แล้วส่งไปให้กับบริษัทของ จูลส์ ในตอนที่เขาสัมภาษณ์งาน และมีประโยคหนึ่งที่เขากล่าวว่า “ถ้านักดนตรีคนไหน ยังมีดนตรีในหัวใจ หมายความว่าคนนั้นก็ยังเป็นนักดนตรีอยู่” ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอายุมากขนาดไหน เราจะมีข้อจำกัดอย่างไร แต่ถ้าเรายังมีไฟที่จะทำงาน เราก็ยังสามารถที่จะทำงาน หรือทำธุรกิจได้อยู่ ดังนั้น ในวันนี้ถ้าหากใครมีความท้อแท้ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า ปีหน้าจะทำอย่างไร

ไร้สาระสิ้นดี!!! ทำงานก็มีผลลัพธ์
แล้วทำไมต้องประจบเจ้านาย บ้าไปแล้ว
ทำไมไม่ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินหละ
เคยสังเกตไหมว่าทำไมคนที่เก่งคน
เก่งการนำเสนอ และเจ้านายรัก
ถึงมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น?

อ่านต่อ »

เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

ทำงานดีทั้งปี เจ้านายไม่เห็นผลงาน
เจ้านายไม่รู้ เจ้านายไม่เห็นความสำคัญ
เพราะไม่ตรงกับเป้าหมาย ทำให้ตายก็
ไม่ไปไหนซักที
เจ้านายไม่รัก จะก้าวหน้าได้อย่างไร?

อ่านต่อ »

รับสิทธิพิเศษมั๊ย?

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

ลงทะเบียนตอนนี้ รับ E-Books ฟรี!!