พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์
ยุคนี้เป็นยุคที่คนทำธุรกิจเองเยอะมาก คนออกมาทำงานอิสระเยอะมาก และผมเชื่อว่าธุรกิจที่เป็นฟรีแลนซ์นั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็ว เหมือนที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งมีคนที่ทำงานในลักษณะนี้เยอะมาก ผมมีโอกาสได้ไปเรียนสัมมนาและไปทำงานที่บาหลีบ่อย ปีหนึ่งประมาณ 14-15 วัน แล้วก็จะเจอคนที่เขาเรียกตัวเองว่า “Digital Nomad” มาจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ซึ่งมาทำอาชีพอิสระของตัวเอง แถมยังได้เที่ยวรอบโลก มีวิถีชีวิตที่น่าตื่นเต้น แปลกใหม่ เช้ามาออกไปวิ่งริมชายหาด สาย ๆ ไปนั่งทำงานในร้านกาแฟ บ่าย ๆ ออกไปเล่นกระดานโต้คลื่น
ซึ่งผมเชื่อว่าวิถีชีวิตการทำงานในรูปแบบนี้ ต่อไปในอนาคตคนไทยจะมีโอกาสได้ทำงานแบบนี้มากยิ่งขึ้น และผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ จะมีทางเลือกในการหาคนมาร่วมงานด้วยได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า อะไรคือสิ่งที่จะต้องตัดสินใจ เมื่อเราจะต้องมองหา Outsource มาทำงานด้วย ซึ่งเป็นเหล่าฟรีแลนซ์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง
สาเหตุของการ Outsource
- 59% จากการเก็บข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง มีความต้องที่จะลดต้นทุน เพราะการ Outsource ถือเป็นการลดต้นทุนที่ดีมาก ๆ วิธีหนึ่ง เพราะว่าถ้ามองกันแบบง่าย ๆ เลยมันจะเป็นการตัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงค่าวัสดุอุปกรณ์ในการทำงานต่าง ๆ ที่เราไม่ต้องจัดเตรียมเอาไว้ เพราะพวกเขาไม่ใช่พนักงานประจำ ที่มานั่งทำงานในสำนักงานของเรา
- 57% ของกลุ่มข้อมูล มีความรู้สึกว่าต้องการจะทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ถ้าอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด ก็อยากจะหาคนมาช่วยทำ
- 47% ต้องการแก้ปัญหาเรื่องจำนวนบุคลากรที่มีไม่เพียงพอ
- 31% ต้องการพัฒนางานบริการให้ดีขึ้น
- 28% ต้องการใช้คนเก่งให้มาทำงานในสิ่งที่เราทำไม่ได้ หรือยังไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ
- 17% ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจของตัวเองอย่างก้าวกระโดด
ทำไมการใช้ Outsource จึงดีกว่า
1. ลดต้นทุนมากกว่า
เมื่อมองในเรื่องของต้นทุนค่าใช้จ่าย เราจะพบว่าการว่าจ้างทีมภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ถูกกว่าการที่เราจะมาทำเอง เป็นการประหยัดเงิน หรือในบางครั้งก็เป็นการประหยัดเวลาด้วย ซึ่งการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายก็ไม่ว่าจะเป็น Recruiting cost, Salary + Benefit, Development & training, other expenses เป็นต้น
ดังนั้น สรุปว่าถ้าหากเราต้องการที่จะมีต้นทุนที่ถูกลง การใช้ Outsource ก็ถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้ดี
2. มีความเอนกประสงค์มากกว่า
เวลาที่เราจ้างพนักงานประจำ เราจะให้เขาทำงานได้แค่อย่างเดียว เช่น ถ้าเราจ้างพนักงานบัญชีเดือนละ 15,000 บาท เขาอาจจะทำได้แค่รายรับ รายจ่าย หรือบัญชีต้นทุน แต่ปิดงบไม่ได้ แต่ถ้าเราจ้าง Outsource ไปกับสำนักงานบัญชีที่น่าเชื่อถือ เขาจะมีความสามารถในการทำบัญชีได้อย่างหลากหลาย อาจจะทำได้ทั้ง A/P A/R ปิดงบ ส่งงบให้สรรพากร
โดยเป็นค่าจ้างในราคาเดียวกันกับที่เราจ้างพนักงานประจำ การจ้าง Outsource เข้ามาทำจะมีความเอนกประสงค์ มีความหลากหลาย และยืดหยุ่นมากกว่า
3. เวลามีจำกัด
ถ้าเวลาไม่มาก เราจำเป็นจะต้องจ้างทีมมาช่วยทำงาน อย่างเช่นเวลาที่มีการก่อสร้างถนนหนทางต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่า บางครั้งผู้รับเหมาจะต้องจ้าง Outsource เข้ามาช่วย เพราะถ้าทำไม่ทันเวลา ส่งงานได้ช้ากว่า deadline ก็จะทำให้โดนปรับเป็นเงินจำนวนมากได้ รวมถึงยังโดนคาดโทษไม่ให้รับงานอื่นต่อไปได้อีก
ดังนั้น ในลักษณะแบบเดียวกันนี้ การจ้าง Outsource นั้น จะถูกจะแพงไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือการจ้างทีมงานเข้ามาช่วยกู้ระเบิดเวลา ไม่ให้ธุรกิจของเรามีความเสียหายนั้นเอง
4. โฟกัสแค่ผลลัพธ์
บางครั้งเราก็ขี้เกียจมานั่งบริหารจัดการรายละเอียดต่าง ๆ หยุมหยิม ซึ่งเราต้องลงไปดูแลในทุก ๆ วัน แต่การที่เรา Outsource เลย จะทำให้เราลดภาระงานลง และเกิดความสบายใจ เรามีหน้าที่แค่โฟกัสที่ผลลัพธ์เท่านั้น ว่าจะออกมาตามแบบที่เราต้องการหรือไม่ เช่น ประชุมทุกวันจันทร์ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเฝ้าระบบงานอยู่ตลอดเวลา
5. ไม่เคยทำมาก่อน
งานบางอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราควรจะจ้าง Outsource เพราะถ้าเราจะจ้างพนักงานประจำมานั่งทำในบริษัทเลย ก็ต้องบอกว่าเป็นการลงทุนที่ไม่ควยทำอย่างยิ่ง เพราะบางโครงการถ้าเรายังไม่เคยผ่านมาก่อนงานมาก่อน การที่เราทำในสิ่งที่เราไม่รู้ เป็นอะไรที่ยากพอสมควร
ยกตัวอย่างในสมัยก่อน ระบบการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือยังเป็นเรื่องใหม่ และคนไทยยังไม่คุ้นเคย แต่ในปี 2014 ผมก็ได้มีโอกาสร่วมงานกับ Thai Ticket Master (บริษัทรับจองตั๋ว) ตอนนั้นมีการจัดคอนเสิร์ต Sonic Bang มีคนมาดูประมาณ 12,000 คน ซึ่งทางผู้จัดก็อยากจะสร้างเทคโนโลยีใหม่ หมายความว่าเมื่อเข้าไปในคอนเสิร์ตแล้ว ไม่ต้องพกเงินก็สามารถใช้ริสแบนด์ที่มีเทคโนโลยี NFC payment สำหรับการชำระเงิน สำหรับการลงทะเบียน สำหรับเล่นเกมกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน เพราะในงานนี้จะมีหลายประตู มีหลายเวที จึงต้องมีการป้องกันคนนอกแอบเข้ามาโดยที่ไม่ได้จ่ายเงิน โดยใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยยืนยันความถูกต้องของผู้เข้าร่วมงาน และไม่ต้องพกบัตรในแบบสมัยก่อน
เมื่อผมทำเทคโนโลยีนี้สำเร็จ ก็ได้มีการนำไปใช้ในงานอื่น ๆ ด้วย เช่น Mega Bangna Ghost Festival ซึ่งเขาเลือกที่จะจ้างผมซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานลักษณะนี้มาทำ โดยที่ไม่จำเป็นต้องสร้างทีมงานของตัวเองขึ้นมาใหม่เลย
6. ไม่ใช่จุดขาย และจุดแข็งของคุณ
เราจะต้องเข้าใจความเจ๋งที่สุดในตัวเอง หรือในทีมงานของ ซึ่งเราจะต้องโฟกัสสิ่งที่สำคัญ และสิ่งที่ทำเงินเท่านั้น ดังนั้น ไม่มีใครที่จะเก่งไปทุกเรื่อง ถ้าเรายอมรับความอ่อนแอของตัวเองได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่เราควรที่จะจ้าง Outsource มาทำ ในส่วนที่ไม่ใช่จุดแข็ง ไม่ใช่จุดขายของเรา ก็อย่ามัวลังเลที่จะหาคนมาทำ แต่จงแบ่งปันงานที่นอกเหนือความสามารถของเราออกไป
7. อยากมีเวลาไปทำอย่างอื่น
บางครั้งงานที่เราจะดึง Outsource มาทำ มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นจุดแข็งของเราก็ได้ แต่เมื่อเราต้องการที่จะเอาเวลาในส่วนนี้ไปทำงานอย่างอื่น เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
ถ้าเราสามารถค้นหา Outsource ที่ทำงานใช้ได้ มันจะช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มมากขึ้น 60-70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เช่น ถ้าต้องทำงานนั้นด้วยตัวเอง 3 วันต่อเดือน เราก็จะได้เวลากลับคืนมา 2 วัน เป็นต้น ส่วนเวลาที่กลับคืนมาตรงนี้ เราจะเอาไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปหารายได้อื่นเพิ่มเติม เราก็สามารถทำได้ เพราะถ้าเราจัดระบบงานแบบนี้ สิ่งที่เราจะต้องทำก็มีเพียงการประสานงาน การควบคุมผลลัพธ์ เพื่อทำให้ทีมงาน Outsource เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
8. Streamline กระบวนการทำงานให้ smooth ขึ้น
อย่างเช่นหนังสือที่ผมเขียนเรื่อง Clubhouse Influencers เปลี่ยนคนโนเนม สู่อินฟลูเอนเซอร์แนวหน้า ก็จะเป็นเทคนิคการตลาดที่ใช้ใน Clubhouse แต่จริง ๆ มันก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกพื้นที่ เพราะเป็นหลักการจิตวิทยาทางการตลาดล้วน ๆ
สำหรับหนังสือเล่มนี้ เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ทางสำนักพิมพ์ก็จะส่งหนังสือมาให้กับนักเขียน โดยนักเขียนจะเอาไปขาย หรือเอาไปทำอะไรก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ขาย เพราะต้องการจะนำไปมอบให้กับคนที่สั่งซื้อหนังสือกับผมมา ผมก็เลยส่งรายชื่อบุคคลเหล่านั้นไปให้กับสำนักพิมพ์ stock2morrow ให้เขาเป็นประสานงานและส่งสินค้าให้กับลูกค้าแทน ซึ่งผมจะยอมจ่ายค่าขนส่ง ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ อยู่ที่เล่มละ 60 บาท ซึ่งรายจ่ายในส่วนนี้จะทำให้ผมและทีมงานทำงานง่ายขึ้น ไม่ต้องดูแลกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยตัวเอง
9. เมื่อคุณต้องการ Scale up ธุรกิจให้มันใหญ่ขึ้น
ตอนผมจัดสัมมนา Fast Forward Your Business ราว ๆ ปี 2015 ซึ่งมีคนเข้าฟังประมาณ 1,000 คน และผมจัดงานระดับนี้มาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยผมได้ Outsource งานออกไปหลาย ๆ ด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นทีม
- Event organizer
- Light & sound
- VDO & Photography
- Translator
โดยมี supplier หลายเจ้ามาก และงานก็ประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผมสามารถทำงานในระดับนี้ได้นั้น แม้ตัวเองจะมีพนักงานเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นเอง เพราะผมต้องการจะ Outsource เกือบทุกอย่าง โดยที่ตัวเองจะโฟกัสแค่เรื่องการให้ความรู้ เพื่อให้เนื้อหาออกมาดีที่สุด
ถ้าถามว่าผมทำเองได้ไหม ผมก็สามารถทำได้ แต่ทำได้ scale แค่ 100 คน เนื่องจากทีมงานมีจำนวนจำกัด เมื่อต้องการจะขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น มันจะทำด้วยตัวเองทั้งหมดไม่ได้อีกต่อไป
และทั้งหมดนี้ก็คือข้อดีในการที่เราจะทำธุรกิจโดยใช้ Outsource เข้ามาทำงานร่วมกับเรา ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตความสามารถของเราให้กว้างออกไป และทำลายข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เราอาจจะไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นการ Outsource เป็นกลยุทธ์ที่อย่างหนึ่งที่เราจะนำเอามาใช้ในการทำงานของเราให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้นได้